
Home
ช่วงไตรมาส 1/2567 เป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาที่ยากลำบากของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องมาตลอดในช่วงก่อนหน้านี้ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่เข้ามาเป็นปัจจัยกดดันกำลังซื้อของคนไทย แต่ขณะเดียวกันผู้ประกอบการอีกหลายรายยังคงมีการบริหารจัดการที่ดี โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการ 3 อันดับแรกในธุรกิจอสังหาฯ
แต่หากพิจารณาจากการเปลี่ยนแปลงเปรียบเทียบกับกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2567 แล้ว จะพบว่ามีเพียงแสนสิริ ที่มีผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรมากที่สุดเป็นอันดับที่ 1 โดยเฉพาะรายได้ ถือเป็นผู้ประกอบการรายเดียวที่มีรายได้มากกว่า 10,000 ล้านบาท (10,170 ล้านบาท) และมีกำไรสุทธิมากเป็นอันดับ 1 ด้วยเช่นกัน อยู่ที่ 1,315 ล้านบาท ซึ่งทิ้งห่างอันดับที่ 2 มากพอสมควร
ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ที่ผ่านมานั้น กำไรและรายได้ของผู้ประกอบการอสังหาฯอาจจะมากกว่าไตรมาสอื่น ๆ ของปี 2566 เพราะมีมาตรการลดค่าโอนกรรมสิทธิ์จาก 2% เหลือ 1% และค่าจดจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% ซึ่งมีผลบังคับใช้และสิ้นสุด ณ สิ้นเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่มีการเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่มีราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพื่อให้ทันต่อมาตรการนี้
และกำไรในไตรมาส 1/2567 ของบริษัทผู้ประกอบการส่วนใหญ่ลดลงแบบชัดเจน เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เพราะมาตรการอสังหาฯสิ้นสุดลงขาดแรงจูงใจส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อเพื่อรอดูสถานการณ์และทิศทางของรัฐบาลก่อน ทำให้กำไรในไตรมาส 1/2567 แบบรายบริษัท มีเพียงกลุ่มแสนสิริและพฤกษาเท่านั้นที่มีกำไรเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส 4/2566
นายสุรเชษฐ์ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ (Property DNA) ให้ความเห็นว่ามาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดอสังหาฯของรัฐบาลที่ประกาศออกมาเมื่อช่วงวันที่ 9 เมษายนที่ผ่านมา ถือว่าเป็นสัญญาณบวกที่ดีซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัย แต่อาจจะเห็นผลเป็นรูปธรรมในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 เป็นต้นไป
รายได้และกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 1/2567 เกิดจากการดำเนินการของผู้ประกอบการแต่ละรายผ่านการจัดโปรโมชันหรือนโยบายส่งเสริมการขายของบริษัทเองเท่านั้น ส่วนการขยายเพดานที่อยู่อาศัยที่จะได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้จากเดิมเพียงแค่ 3 ล้านบาท ขึ้นไปถึง 7 ล้านบาทต่อยูนิต ทำให้สามารถครอบคลุมสินค้าถึง 85% ของตลาดที่อยู่อาศัยในประเทศไทย
ดังนั้นจึงเป็นที่คาดการณ์กันว่าจะทำให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในปี 2567 มากกว่าปีก่อนหน้านี้ (ปี 2566) ประมาณ 5–6% คิดเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์มากถึง 1.1 ล้านบาท และส่งผลให้ GDP ขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 1.8%
ซึ่งเรื่องนี้ผู้ประกอบการแต่ละรายน่าจะมีมาตรการทางการตลาดควบคู่ไปด้วย
ส่วนผู้ประกอบการที่สร้างรายได้เข้ามาแล้วในระดับสูงอย่างแสนสิริ ก็มีโอกาสที่จะครองอันดับที่ 1 ไปกระทั่งถึงสิ้นปีนี้อีกครั้ง แต่ผู้ประกอบการทุกรายยังมีโอกาสในการสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้นในปีนี้จากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลและการฟื้นตัวของกำลังซื้อที่มีแนวโน้มเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2567 ถือเป็นปีที่ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ ต้องระมัดระวังในการบริหารจัดการความเสี่ยงของตนเองและบริหารจัดการสต็อกคงค้างในส่วนของบริษัทให้สอดคล้องกับมาตรการของรัฐบาล อีกทั้งยังต้องบริหารการเปิดขายโครงการใหม่ให้ต่อเนื่อง และต้องมีการบริหารความเสี่ยงในส่วนของกำลังซื้อหรือผู้ที่สนใจจะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองด้วย
จะเห็นว่าผู้ประกอบการหลายรายได้เริ่มออกมาตรการและนโยบายมาช่วยเหลือผู้ซื้อ ทั้งในเรื่องของการให้ความรู้ ทำความเข้าใจขั้นตอนและกระบวนการในการขอสินเชื่อจากธนาคาร รวมไปถึงการทำ Pre-Approve ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการเซ็นสัญญาซื้อ-ขาย และการให้เช่าอยู่ก่อนซื้อ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการหลายรายให้ความสำคัญเพิ่มมากขึ้นในปี 2567 นี้
ศุภาลัยบุกจังหวัดใหม่! ส่งโครงการแรก “ศุภาลัย ปาล์มสปริงส์ ลพบุรี” ชิงตลาดบ้านเดี่ยวฟังก์ชันครบ เริ่มเพียง 2.99 ล้าน*
yesterday
ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ จับมือ 5 พันธมิตรแบรนด์ดังระดับโลก ยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัย มอบบริการ Privilege Ultimate Prestige
yesterday
“แสนสิริ” ยืนหยัดจ่ายเงินปันผลหุ้นต่อเนื่อง 10 ปี แม้ตลาดอสังหาฯ เผชิญปัจจัยท้าทาย
yesterday
Dusit Central Park เผยความพร้อม Roof Park สวนลอยฟ้าใจกลางเมืองที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เตรียมเปิด 3 ก.ย. นี้
yesterday
สิงห์ เอสเตท เปิดตัวโครงการ “S’RIN พรานนก-กาญจนา” บ้านเดี่ยวระดับพรีเมียมลักชูรี กลิ่นอาย Mediterranean Revival ตอกย้ำความแข็งแกร่งพอร์ตอสังหาฯ แนวราบ มูลค่าโครงการกว่า 4,300 ล้านบาท
yesterday
บทความมีประโยชน์มากค่ะ
ยอดเยี่ยมมากๆค่ะ
ดีนะคะ ลงบทความมาให้อ่านบ่อยๆ นะคะ
ข่าวด้านอสังหาฯ ไวมาก ติดตามอยู่น่ะคะ