
Home
ผมทำงานต่างประเทศมาหลายปีแล้ว ปัญหานึงที่เห็นคนรอบตัวเจอกันอยู่ตลอดก็คือ "บริหารเงินยังไงดี รายได้อยู่นี่ รายจ่ายอยู่ไทย" ผมเลยเอาคำตอบที่ผมแนะนำคนรอบตัว มาเขียนบทความนี้จะได้เป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วย ไปลองอ่านกันเลยดีกว่าครับ...
1) คำนวณเงินที่ต้องการโอนกลับไทยต่อเดือน
เงินที่ต้องโอนกลับเนี่ย ไม่ใช่แค่เฉพาะค่าใช้จ่ายส่วนตัวนะครับ แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายในครอบครัว เงินเก็บออม เงินลงทุน เงินประกัน เงินผ่อนบ้าน เงินผ่อนรถ และที่สำคัญคำนวณได้เท่าไหร่ให้บวกเผื่อเงินฉุกเฉินไปเพิ่มอีกซัก 5 % หรือถ้าได้ซัก 10% จะดีมากครับ
เราต้องไม่ลืมครับ ว่า "การโอนกลับไทยฉุกเฉินมีราคาของมัน" เผื่อไว้ก่อนไม่เสียหาย คำนวณเสร็จแล้ว ลองเอามาเทียบกับรายได้ครับ แล้วลองดูว่ามันหนักเกินไปไหม แต่โดยส่วนมากคนทำงานต่างประเทศจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ดี ถ้าเรากินอยู่แบบไม่หรูหรา จะสามารถโอนกลับไทยได้ 20-30% ของรายได้ ได้โดยไม่ลำบาก แต่ถ้าไม่ไหวอาจต้องหาทางลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยบางอย่างลง
2) หาช่องทางการโอนที่ปลอดภัย และเรทดี
เรื่องนี้สำคัญมากนะครับ หลายคนเดินไปหาโอนตามห้างแถวบ้าน โดยคิดว่า "เรทต่างกันนิดเดียวไม่เป็นไร" อันนี้น่าเสียดายครับ อย่าลืมว่าเราโอนทุกเดือน รวมๆ กันแล้ว จำนวนเงินจะไม่น้อยเลย ทุกประเทศจะมีร้านที่ให้เรทดี และเชื่อถือได้อยู่เสมอ "เปรียบได้กับ Super Rich ของประเทศไทย"
หาไม่ยากครับแค่ต้องใช้เวลาซะหน่อย ไม่ว่าจะสอบถามจากคนไทยที่อยู่มาก่อนนานๆ เสาะหาข้อมูลจาก internet หรือถ้าคุณมีเพื่อนร่วมงานชาวฟิลิปปินส์ ให้ลองถามเค้าเลยครับ เพราะคนฟิลิปปินส์โอนเงินกลับเยอะมาก (เยอะจนกลายเป็นสิ่งที่ทำเงินเข้าประเทศฟิลิปปินส์มากที่สุด มากกว่าสินค้าส่งออกทุกประเภท) และที่สำคัญ พวกเค้ามักมี Community ที่แชร์ข้อมูลกันดี คนฟิลิปปินส์ที่อยู่มาเกิน 1 ปี รู้แน่นอนครับ ว่าโอนที่ไหนได้เรทดีที่สุด
อีกเรื่องที่คนไทยพลาดกันบ่อยคือ...ถ้าคุณโอนเยอะ เรทต่อรองได้นะครับ !!!
คนไทยเรามักจะชินกับเรทที่ต่อรองไม่ได้ เดินเข้าร้านไปเห็นขึ้นจอเท่าไหร่ก็เท่านั้นเลย แต่ที่ต่างประเทศไม่ใช่ครับ เรทต่อรองได้อีก บางครั้งได้มาอีก 2-3% เลย
อีกประเด็นที่คนมักจะไม่รู้กันก็คือ บางธนาคารเสนอเรทที่ (เกือบ) ชนกับ super rich ได้... ถ้าคุณมีบัญชีเงินเดือนอยู่กับเค้า และโอนกลับไทยทุกเดือน เดินเข้าไปขอ exclusive rate จากธนาคาร เอามาเปรียบเทียบได้เลยครับ บางครั้งถ้าเรทไม่ต่างกันมาก ผมก็เลือกโอนผ่านธนาคาร เพราะสะดวกกว่า การตระเวนหาเรทแล้วเอามาเปรียบเทียบกันแบบนี้ เราจะได้เรทที่ดีกว่าการเดินสุ่ม 5-10% เลย เยอะนะครับ!
แต่เวลาเปรียบเทียบ ถ้าเจอร้านที่ไม่น่าเชื่อถือ ให้ตัดออกจากลิสต์เลยครับ ไม่คุ้มเสี่ยง อยู่ต่างประเทศมีปัญหาอะไรขึ้นมาแล้ว ได้เงินคืนยากมาก โดยส่วนตัวผมจะตัดร้านที่มีประวัติไม่ดี และร้านที่เปิดมาไม่เกิน 3 ปีออกทั้งหมด... และต่อให้เปิดมานาน ประวัติดีแค่ไหน ผมจะโอนทดสอบก่อนเสมอ โอนครั้งแรกด้วยเงินน้อยๆ เอาแบบที่พอเสี่ยงได้ เพื่อดู service level และ ระยะเวลา (จากวันที่โอน ถึงวันที่ได้รับเงิน)
3) เลิกจับจังหวะอัตราแลกเปลี่ยน
ผมเห็นคนไม่น้อยพยายามจับจังหวะ รอช่วงที่เรทดีถึงจะโอน สุดท้ายเจ็บกว่าเดิม เพราะเรทไม่ดีซะที แต่ต้องรีบใช้เงินที่ไทยแล้ว นักลงทุนระดับโลกมากมายทำงาน 24 ชั่วโมง 7 วัน เพื่อเก็งกำไรค่าเงิน พวกเค้าเหล่านั้นก็ยังเก็งผิดทางอยู่บ่อยๆ... แล้วทำไมเราถึงจะคิดว่าตัวเองจะสามารถกะเก็งจังหวะค่าเงินได้ล่ะครับ?
โดยส่วนตัวผมจะมีความเชื่อว่า ยังไงเราก็กะเก็งค่าเงินไม่ได้อยู่แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือโอนเท่ากันทุกเดือน เวลาเดิม เพื่อเฉลี่ยความเสี่ยง และป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องโอนแบบเร่งด่วน (ซึ่งค่าใช้จ่ายมากกว่า)
หลักคิดเดียวกับการลงทุนแบบ DCA "เลิกกะเก็งตลาด แต่จัดการความเสี่ยงโดยการเฉลี่ยมันออก"
แน่นอนครับว่าเราสามารถยืดหยุ่นได้นิดหน่อย ตามสถานการณ์ เช่น ปกติโอนเดือนละ 20,000 แต่เดือนนี้เรทดีมาก โอนไปซัก 25,000 เอาไว้เป็นเงินสำรองเผื่อฉุกเฉิน
ลองดูนะครับ ตอนเริ่มทำอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่ถ้าทำไปซักพัก คุณจะทำมันได้อย่างธรรมชาติ... บริหารค่าใช้จ่าย เงินออม และเงินลงทุน ทั้งที่ไทยและต่างประเทศ ได้อย่างมีประสิทธิภาพแน่นอน !
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้สุขภาพการเงินของคุณดีขึ้นครับ ถ้าคุณมีเพื่อนทำงานอยู่ต่างประเทศ ฝากแชร์บทความนี้ให้เค้าด้วยนะครับ
10 จังหวัด บ้านมือสอง มีจำนวนประกาศขายสูงสุด ในไตรมาส 2 ปี 2567
2024-09-18
“จากุซซี่” มากกว่าอ่างอาบน้ำ แต่เป็นตัวช่วยบำบัดกายใจ
2024-05-17
สรุปเหตุการณ์คนผ่อนบ้านไม่ไหว แบงค์ปฏิเสธสินเชื่อ ผ่อนบ้านแพง
2024-03-11
เป้าหมายสูงเสียดฟ้า จะไปถึงได้ยังไง
2018-02-05
ส่องข้อมูล ตลาดอสังหาริมทรัพย์เปิดใหม่ ลดลงเกือบครึ่ง ในเดือนมีนาคม 2568
2025-05-12
ขอบคุณความรู้มากๆครับ เขียนดี
เยี่ยมเลยค่ะ
ดี มีประโยชน์ในการให้ข้อมูลมากๆค่ะ
อ่านเพลิน เขียนดี