News
icon share

ORI กวาดยอดขาย 9 เดือน 19,000 ล้าน ลุ้นยอดขายปี 63 ทะลุเป้า 21,500 ล้าน

LivingInsider Report 2020-10-07 09:52:23
ORI กวาดยอดขาย 9 เดือน 19,000 ล้าน ลุ้นยอดขายปี 63 ทะลุเป้า 21,500 ล้าน

“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซล 9 เดือนแรก 19,000 ล้านบาท หรือ 88% ของเป้าทั้งปี หลังไตรมาส 3/2563 สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่วงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ปิดการขาย “ดิ ออริจิ้น อ่อนนุช” ภายใน 1 ชั่วโมง จากการเดินเกมส์ “Origin Next Normal, The 1st Wave” เปิดขายออนไลน์ 100% พร้อมสร้างยอดขายโครงการ Ready to move ดีต่อเนื่อง ไตรมาส 4/2563 จ่อเปิดอีก 9 โครงการ ควบส่งกลยุทธ์ “Origin Next Normal, The 2nd Wave” หนุนยอดขายทะลุเป้า 21,500 ล้านบาท  

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร กล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 (ม.ค.-ก.ย.2563) บริษัทสามารถสร้างยอดขาย (Presale) ได้ถึงกว่า 19,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 88% ของเป้ายอดขายทั้งปี 21,500 ล้านบาท

 

สาเหตุหลักมาจากความสามารถในการสร้างยอดขายทั้งโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการพร้อมอยู่ อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในช่วงไตรมาส 3/2563 (ก.ค.-ก.ย.2563) ทำยอดขายได้ถึงกว่า 7,500 ล้านบาท เติบโตขึ้นต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ทำยอดขายได้ 6,578 ล้านบาท 

ORI กวาดยอดขาย 9 เดือน 19,000 ล้าน ลุ้นยอดขายปี 63 ทะลุเป้า 21,500 ล้าน

 

สำหรับช่วงไตรมาส 3/2563 บริษัทมียอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร คิดเป็นสัดส่วน 19% และจากกลุ่มคอนโดมิเนียม 81% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มียอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move projects) 58% และจากกลุ่มโครงการเปิดตัวใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง (Ongoing projects) ประมาณ 42% โดยโครงการเปิดตัวใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย คือโครงการดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut)

 

ที่บริษัทใช้กลยุทธ์ Origin Next Normal, The 1st Wave เปิดขายโครงการผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ 100% ภายใต้ชื่อ www.evenprop.com โดยไม่มีสำนักงานขาย ทำให้สามารถลดต้นทุนการพัฒนาโครงการไปได้อย่างมาก สร้างวิธีการแก้ปัญหาด้านการเข้าถึงโครงการ (Reaching Solution) ให้แก่ผู้บริโภค ด้วยราคาใหม่ที่คุ้มค่าและจับต้องได้ง่ายกว่าเดิม จนสามารถปิดการขาย (Sold Out) ในวันพรีเซลได้ภายใน 1 ชั่วโมง

 

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ช่วงไตรมาส 4/2563 บริษัทมีแผนทยอยเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 14,050 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดมิเนียมแบรนด์ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) 1 โครงการ มูลค่า 2,300 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 5,550 ล้านบาท

 

โครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ในพื้นที่ EEC ภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา  (Hampton Siracha) มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท กลุ่มบ้านจัดสรร ได้แก่ แบรนด์ แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,700 ล้านบาท, แบรนด์ เบลกราเวีย (Belgravia) 1 โครงการ มูลค่า 1,600 ล้านบาท และแบรนด์ ไบรตัน (Brighton) 1 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท

 

“ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา เราพบว่า ผู้บริโภคยังคงมีความต้องการการซื้อที่อยู่อาศัย สังเกตได้จากยอดขายทั้งกลุ่ม Ready to move projects และกลุ่ม Ongoing projects ที่เรายังทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง ข้อสำคัญคือ ตัวโครงการต้องมีคุณภาพ ต้องเลือกเซ็กเมนท์และทำเลให้ถูกต้อง

 

สำหรับทุกโครงการที่เราวางแผนจะเปิดในช่วงไตรมาส 4 นั้น ผ่านการคัดเลือก การวิเคราะห์ และการทำงานอย่างเข้มข้น เพื่อให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคในสภาวะปัจจุบัน เราจึงมั่นใจที่จะเปิดตัวโครงการตามแผนงาน ซึ่งจากกลยุทธ์และแผนงานต่างๆ ประกอบกับยอดขายสะสม 9 เดือนที่ทำได้แล้วถึง 88% บริษัทยิ่งมั่นใจว่าปีนี้จะสามารถปิดยอดขายได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 21,500 ล้านบาท” นายพีระพงศ์กล่าว

 

ขณะเดียวกัน บริษัทจะเดินหน้าสร้าง Reaching Solution ให้ผู้บริโภคควบคู่กับการสร้างวิธีแก้ปัญหาสำหรับการอยู่อาศัย (Living Solution) โดยจะมีการประกาศกลยุทธ์ใหม่ต่อยอดจากไตรมาส 3/2563 ภายใต้ชื่อ “Origin Next Normal, The 2nd Wave” คาดว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดได้ในช่วงต้นไตรมาส 4/2563 นี้

 

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 76 โครงการ เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 116,000 ล้านบาท

 

2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
 

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider