Knowledge

MEGA Trend จากกระดาษเมื่อ 5 ปีก่อน

Salaryman Estator 2016-09-29 11:07:28

 

 

MEGA Trend จากกระดาษเมื่อ 5 ปีก่อน

 

 

วันนี้ขอพักเรื่องอสังหาฯ มาพูดเรื่อง MEGA Trend แทนนะครับ จะได้แง่คิดเข้มข้นทุกแง่มุมการลงทุน

 

 

กระดาษแผ่นนี้คือกระดาษที่ผมเขียนไว้เองเมื่อ 5 ปีก่อน เก็บไว้ในกระเป๋าตังตลอด เป็นการเขียนสรุปมุมมองระยะยาวเพื่อเป็นประโยชน์ต่อการลงทุนของตัวเอง   (ส่วนล่างของกระดาษผมขอตัดออกนะครับ มันเป็นลิสต์การลงทุนระยะยาวตามแนวคิด Mega Trend เดี๋ยวจะกลายเป็นการชี้นำ ซึ่งไม่ใช่จุดประสงค์ของบทความนี้)

 

 

แน่นอนเวลาเพิ่งผ่านมาแค่ 5 ปี ยังไม่ได้มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง เพราะคำว่า MEGA Trend ผมกำลังพูดถึง 20 ปีข้างหน้า และแนวคิดนี้เป็นแค่ความคิดเห็น(จากผม) ไม่ใช่ข้อเท็จจริง อาจจะถูกหรือผิดก็ได้ (อีก 20 ปีถึงจะรู้) ยังไงก็ตาม ผมก็เชื่อว่าการมีมุมมองไปในอนาคต ยังไงก็ดีกว่าการที่เราลงทุนไปโดยไม่มีมุมมองระยะยาวเลย

 

 

Mega Trend ในยุคนี้มันเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของ "Technology" และเทคโนโลยีนี้เองนำพาเรามาพบกับ Mega Trend หลากหลายที่เป็นผลสืบเนื่องต่อกันเป็น Butterfly effect 4 กลุ่มหลักๆ

 

 

1.กลุ่มแรกเลย Globalization

 

 

โลกนี้แคบลงมากในยุคของเทคโนโลยี คนจีนล่องเรือสำเภามาไทยเคยใช้เวลาเป็นเดือนแต่เรากลับสามารถไปกลับจีนได้ภายในวันเดียวในปัจจุบัน มันเคยยากมากในการจะมีเพื่อนต่างชาติ ปัจจุบันมีเพื่อนชาวต่างชาติกันเป็นปกติ มันเคยยากมากที่จะผลิตของจากพม่าไปขายที่อเมริกา ปัจจุบันบริษัทหลายบริษัทกำลังทำแบบนั้น คนไทยในต่างจังหวัดเคยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตกันยังไง ปัจจุบันคนต่างจังหวัดมากมายอยากย้ายมาอยู่(หรือมาเที่ยวกรุงเทพฯ) เพราะเห็นอะไรที่ดูดีจาก internet

 

 

Globalization ส่งผลกระทบแบบลูกโซ่มาเรื่อย จนทำให้เกิด Mega Trend อันใหม่ "Urbanization" คนย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองกันมากขึ้น สังคมการใช้ชีวิตเปลี่ยนจากสังคมต่างจังหวัดเป็นสังคมเมือง ประชากรในเมืองจะหนาแน่นมากขึ้นไปเรื่อยๆ และจะแตกออกไปเป็นเมืองใหญ่ตามภูมิภาคต่างๆ ต่อเนื่องกันไป ไม่ใช่แค่เมืองหลวง

 

 

Globalization ยังส่งผลให้เกิดการทำ FTA ระหว่างประเทศและระหว่างทวีป (ใครๆ ก็อยากได้ผลประโยชน์จากประเทศที่มีทรัพยากรและแรงงานถูก) และการทำ FTA นี้เองจะเปิดโอกาสให้เกิด Regional Company ได้ง่ายขึ้น บริษัทที่เคยยิ่งใหญ่ในประเทศถ้าแข็งแรงพอจะขยายจนไปควบรวมกับคู่แข่งได้ (Merger and Acquisition) ในทางกลับกันถ้าแข็งแรงไม่พอ อาจโดนเพื่อนต่างชาติกลืนกินได้ง่ายๆ

 

 

ยังไงก็ตามผลกระทบของ FTA และ Globalization ย่อมเป็นประโยชน์กับ Asia ครับ ประเทศที่ไม่เคยอยู่ในสายตาชาวตะวันตกกลายเป็นประเทศเนื้อหอมและมีอำนาจต่อรองขึ้นมา ในระยะ 20 ปีจนถึงปี 2035 คงหนีไม่พ้น Mega Trend Asia boosting (บางคนจะเรียกมันว่า Asia Miracle)

 

สุดท้ายผลพวงของการเป็นสังคมเมือง และ FTA จะทำให้เกิดการเชื่อมต่อกันในลักษณะ Spiderweb คือต่อเนื่องกันหมดและมีจุดศูนย์รวมเป็นกลุ่มๆ "Mega Trend ทั้งหมดนี้จะส่งผลกระทบยังไงต่อการลงทุนของเราหละ"?

 

 

ผลกระทบมันกว้างครับ Mega trend กลุ่มนี้ ทำให้บริษัทกลุ่ม Logistic/Tourism เป็นที่น่าจับตามอง บริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศโตขึ้นได้อีกเป็น 10 เท่า ถ้าสามารถขยับไปยังตลาดระดับ Regional ได้สำเร็จ ในทางกลับกันบริษัทที่ดูยิ่งใหญ่ในประเทศอาจล้มละลายเพราะปรับตัวไม่ทัน

 

 

บริษัทพัฒนาอสังหาฯ และราคาที่ดินมีโอกาสเติบโต(แบบกระจุก) เพราะ Urbanization และ Spiderweb connection ใครมีที่ดินในเมืองยิ้มนับวันยิ่งรวย ใครมีที่ดินต่างจังหวัดถือยาวขายยาก การผลิตอาหารจะเปลี่ยนไป คนทำ farming แบบปกติจะไม่เพียงพอต่อการบริโภค อาหารจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นไปอีก  ผลกระทบต่อเนื่องอาจจะยังมีอีกมากมาย แต่ผมขอทิ้งไว้เป็นปลายเปิดนะครับ จะได้เอาไปคิดต่อสนุกๆ ให้กลายเป็น Mega trend ในแบบของคุณ

 

 

2) Global warming

 

 

Mega trend นี้เป็นผลสืบเนื่องจาก Technology และ Urbanization ปัญหานี้ดูเป็นปัญหาที่แต่ละคนพูดกันมา 10 ปีแล้วก็ยังพูดกันเหมือนเดิม เพราะงั้นมันอาจดูเหมือนเป็นคลื่นเซาะหาดทราย ดูน่ากลัวแต่มาแล้วก็ไป ไม่เห็นจะมีอะไรชัดเจน

 

 

"ผมไม่คิดแบบนั้นครับ" ปัญหานี้จะเป็นที่สนใจแน่นอนในอนาคต ปัจจุบันทุกคนรู้ปัญหานี้แต่ยังไม่มีใครทำอะไรแบบจริงจัง อารมประมาณปากว่าตาขยิบ นั่นเป็นเพราะไม่มีประเทศไหนอยากเป็นผู้เสียสละ ไม่ว่าจะพูดว่ารักโลกแต่ไหน เราก็ยังเห็นได้ชัดเจนว่าแต่ละประเทศรักตัวเองมากกว่าโลกอยู่ดี

 

 

คำถามคือ อนาคตก็น่าจะเหมือนเดิมปะ? โลกนี้มันมี limit ของมันครับเมื่อถึงจุดวิกฤตที่ถ้าประเทศแต่ละประเทศรู้ว่าถ้าไม่ทำอะไรซักอย่าง ไม่ใช่แค่โลกจะซวย แต่เรา(ประเทศ)จะซวยไปด้วย ผมเชื่อว่า เมื่อนั้นทุกคนจะ take action อย่างจริงจัง มากขึ้น

 

 

คุณเห็นกรุงเทพฯ ตอนน้ำท่วมแล้วมีคนออกมาหาทางจัดการ(รณรงค์)กับพวกทิ้งขยะจนท่ออุดตันไหม๊ครับ คนพวกนี้หลายๆ คน เคยเป็นคนทิ้งขยะลงท่อเองด้วยซ้ำ แต่ทุกคนดูร่วมมือกัน รักกรุงเทพฯ มากขึ้น (หลังจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม)  Global warming จะดำเนินต่อไปจนถึงจุดวิกฤต(อาจต้องใช้เวลา 10-20ปี) และเมื่อถึงเวลานั้น Clean Energy จะมาแรง พุ่งแรงยิ่งกว่าม้า แต่ถึงเวลานั้นน้ำแข็งที่ละลายจะมากินพื้นดินไปแล้วพอสมควร Water world จะทำให้เรามีพื้นดินน้อยลงไปอีก  ธุรกิจที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือพวกกลุ่มพลังงานสะอาด และกลุ่มที่ใช้พลังงานสะอาดไปทำงานต่อเนื่อง  Water world จะทำให้ที่ดินที่แพงอยู่แล้ว แพงขึ้นไปอีก จะทำให้อาหารที่หายากอยู่แล้วหายากขึ้นไปอีก จะทำให้เทคโนโลยีอาหารที่เคยไม่สำคัญกลายเป็น"โคตรสำคัญ" ในอนาคตผมจะไม่แปลกใจเลยที่จะมีคนรวยที่สุดในโลกมาจากธุรกิจอาหารและเกษตร

 

 

3) Aging society

 

 

เป็น Mega trend ที่เป็นผลต่อเนื่องของ Technology และ Urbanization ส่งผลให้อัตราส่วนผู้สูงอายุสูงกว่าคนหนุ่มสาวอย่างชัดเจน ประเทศไทยจะเริ่มเห็นผลชัดเจนในปี 2020 และขึ้นไป peak ตอนปี 2035

 

 

แน่นอนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุโดยตรงเช่นโรงพยาบาลและประกันชีวิตจะได้ผลประโยชน์โดยตรง โดยเฉพาะถ้าบริษัทที่เป็นผู้นำกลุ่มโรงพยาบาลทำ Merger & Acquisition จะเหมือนวิ่งอยู่บน Mega trend พร้อมกันหลายตัวในเวลาเดียว

 

 

จากสถิติ ตลาดหุ้นของแต่ละประเทศมักจะขึ้นไป Peak เมื่อคนในประเทศส่วนใหญ่มีอายุ 55-65 ปี เพราะคนอายุนี้รวย มีเงินเก็บเยอะ และต้องหาที่ไปของเงิน ผมยังคงเชื่อว่า "ไม่ว่าตลาดหุ้นจะcrashไปกี่ครั้ง" มันจะยังสามารถกลับมาทำ new high ได้ และจะขึ้นไป peak ที่สุดช่วงปี 2035

 

 

4) Global Paradox

 

 

Mega trend นี้คนมักจะมองข้ามแต่ผมว่ามันสำคัญนะครับ Global Paradox คือคนโหยหาสิ่งที่แตกต่างจากชีวิตปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง บัตรคอนเสิร์ตศิลปินยุค 90 ขายดีสุดๆ เพราะคนรุ่นนั้นโหยหาสิ่งที่ตัวเองเคยมีแต่ตอนนี้ไม่มี ธุรกิจขายสินค้า Antique กลับขายได้ราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ คนเมืองหลวงโหยหาชีวิตแบบพี่ติ๊กนาวิเกเตอร์ คนญี่ปุ่นและฮ่องกงมองหาประเทศที่มีพื้นที่กว้างขวางอยู่ในยามเกษียณ  พวกนี้ทั้งหมดมันคือผลมาจาก Global Paradox ใครทำธุรกิจบันเทิงจะเข้าใจประเด็นนี้ดี ส่วนตัวผมไม่ได้อยู่สายบันเทิงแต่ก็เตรียมพร้อมสำหรับคนต่างประเทศที่อยากมาใช้ชีวิตหลังเกษียณในเมืองไทย เพราะมันได้รับแรงสนับสนุนจาก Aging society และ Globalization อีกด้วย

 

 

Mega trend ทั้ง 4 กลุ่มข้างบนคือสิ่งที่ผมมองว่าสำคัญต่อการลงทุน ถ้าผมจะลงทุนอะไรก็มักจะชอบให้การลงทุนนั้นได้รับการสนับสนุนจาก Mega trend ตัวใดตัวหนึ่งหรือมากกว่า เพราะการลงทุนระยะยาวหลายๆ ครั้งเราไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะขายเมื่อไหร่ ผมเลยชอบที่จะถือสินทรัพย์ที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าเป็นการถือที่ดีในระยะยาว (ถือสบายใจ ขายสบายกระเป๋าตัง)

 

 

แล้วคุณหละครับมองการ Mega trend ไว้ยังไงบ้าง? ใครชอบการลงทุนระยะยาว การรู้จัก Mega trend ไว้จะช่วยคุณได้มากในการตัดสินใจลงทุน ใครชอบเก็งกำไรระยะสั้น Mega trend ก็เป็นสิ่งที่ควรติดตาม การเข้าใจถึง Mega trend จะช่วยให้การลงทุนของคุณดีขึ้น ไม่มากก็น้อย

 

 

ขอให้คุณสนุกไปกับโลกที่กำลังจะไม่เหมือนเดิมครับ

 

 

Salaryman Estator

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider