
หน้าแรก
กระแสการปรับองค์กรเกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลกตลอดหลายปีที่ผ่านมา ก่อนจะมาโดนเร่งสปีดในปี 2020 มาถึงตอนนี้ ผมว่าเรามี 2 ทางเลือกครับ “ปรับตัว หรือ โดนปรับ”
ก่อนอื่นเลย ผมอยากว่า “เรื่องนี้ไม่มีใครผิดครับ” บริษัทไม่ผิด คนพัฒนาเทคโนโลยีก็ไม่ผิด มนุษย์เงินเดือนอย่างเราก็ไม่ผิดเช่นเดียวกัน โลกมันแค่หมุนไปเรื่อยๆ ใครเข้าใจการเปลี่ยนแปลง แล้วปรับตัวได้ ก็จะเป็นคนได้ประโยชน์ไป
ไม่ว่าจะเป็นงานในตำแหน่งปฏิบัติการ อย่างพนักงานในสายการผลิต หรือพนักงานในออฟฟิส อย่างพนักงานธนาคาร ล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงเดียวกัน... ด้วยเครื่องมือที่ทันสมัยขึ้น คนหนึ่งคนในปัจจุบัน อาจจะสามารถผลิตผลงานได้เท่ากับคน 10 คนในอดีต คำถามถือ ถ้ามองไปอีก 3 ปีข้างหน้า คุณคิดว่าเทคโนโลยีจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และราคาถูกลงอีกไหมครับ ?
ใช่ครับ ! มันจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และราคาถูกลงไปอีก เพราะมันเป็นเทคโนโลยีที่สร้างอยู่บนเทคโนโลยีอีกที ทุกอย่างเลยดำเนินไปด้วยอัตราเร่ง ไม่มีใครหยุดกระแสนี้ได้ มันจะดำเนินต่อไป ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยกับมันหรือไม่ก็ตาม “อย่าเสียเวลาบ่นเลยครับ” มันก็เหมือนกับพระอาทิตย์ที่ต้องขึ้นเมื่อเวลาเช้ามาถึง แทนที่จะบ่นว่าร้อน สู้เราทาครีมกันแดด หรือใช้ประโยชน์จากแสงแดดยามเช้า หากิจกรรมสนุกๆ ทำมันซะเลย จะดีกว่าไหมครับ?
แน่นอนว่ามนุษย์เงินเดือน (ส่วนใหญ่) กับบริษัทมองเรื่องนี้ด้วยมุมมองที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่ ทั้ง 2 ฝ่าย อยู่ในสถาณการณ์เดียวกัน คือ “ปรับตัว หรือ โดนปรับ”... บริษัทมักมองว่า ต้องพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานและความคล่องตัวขององค์กรอย่างเร่งด่วน ไม่เช่นนั้น จะสู้คู่แข่งไม่ได้ และกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่หายไปตามเวลา ในขณะที่มนุษย์เงินเดือนมักมองว่า บริษัท “เค้น” ประสิทธิภาพจากพวกเค้ามากเกินความพอดี
คำถามที่สำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่ใครผิด หรือถูก แต่มันคือ “แล้วมนุษย์เงินเดือนอย่างเราควรทำยังไงดี” ?
1) เลิกคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์เงินเดือนที่นั่งทำงานเหมือนเดิมทุกวัน ตามเวลาที่กำหนด แล้วรอรับเงินเดือนตอนสิ้นเดือนเป็นค่าตอบแทน เปิดหูเปิดตาให้กว้าง มองดูว่าตัวเองสามารถช่วยสร้างประโยชน์อะไรให้กับบริษัทได้มากกว่างาน Routine ที่ทำอยู่ทุกวันบ้าง ผมเชื่อว่าทุกคนฉลาดครับ เรารู้อยู่แล้วว่าเราทำอะไรแล้วจะเป็นประโยชน์กับบริษัทบ้าง ที่ผ่านมาเราอาจจะแค่ไม่ทำมัน เพราะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่นี่ก็คุ้มค่าเกินเงินเดือนแล้ว
ลองเอาความคิดนนั้นออกไปวางข้างๆ ก่อนครับ แล้วคิดใหม่ว่าเงินเดือนของเรามันจะขึ้น (และลง) ตามประโยชน์ที่เราสร้างให้กับบริษัทนั่นล่ะ แค่มันอาจจะไม่ได้มาทันที คิดง่ายๆ เลยครับ ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัท เราจะเอาพนักงานที่สร้างผลประโยชน์ให้บริษัทได้มากกว่าเงินเดือนออกไหม ? ใครมันจะไปทำ ! จริงไหมล่ะครับ
2) พัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา อย่างที่บอกในข้อแรกครับ เราต้องมองหาช่องทางที่จะสร้างประโยชน์ให้กับบริษัท รวมไปถึงมองหาปัญหาที่สำคัญของบริษัทแล้วจับมาแก้ซะ การจะทำอย่างงั้นได้ มันต้องอาศัยสิ่งที่ฝรั่งชอบเรียกเท่ๆ ว่า CI (Continus Improvement - การพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา) ผมบอกเลยว่า ปัญหาที่มันค้างมาจนถึงเราได้นี่ “ไม่มีง่ายครับ” เพราะถ้ามันง่าย รุ่นพี่ในบริษัทเราคงทำไปหมดแล้ว เราถึงต้องเก่งขึ้น มีทักษะที่ดีขึ้น รู้จักเครื่องมือให้มากขึ้น เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่ว่า ทักษะที่ติดตัวเรานี่ล่ะครับที่จะทำให้เราแตกต่าง และเป็นคนแรกๆ ที่หัวหน้าจะนึกถึงเวลามีโอกาสดีๆ เข้ามา
หรือต่อให้สุดท้ายโชคร้าย จำเป็นต้องย้ายงานจริงๆ ทักษะทั้งหมดมันก็จะตามเราไป คนที่มีทักษะที่เป็นประโยชน์ไม่มีทางว่างงานนานครับ เพราะจริงๆ แล้ว บริษัทเอง ก็กำลังมองหาคนที่จะมาช่วยเค้า “ปรับตัว” อยู่เหมือนกัน… อย่าลืมนะครับ บริษัทปรับตัวเองไม่ได้ มนุษย์เงินเดือนอย่างพวกเรานี่ล่ะ ที่กำลังช่วยบริษัทปรับตัวอยู่ เห้ย ! ถ้ามองแบบนี้ งานที่เราทำอยู่ก็เท่ไม่เบานะ 🙂
3) หาความรู้ทางการเงินให้มาก ไม่ว่าจะเป็นทักษะการหารายได้หลายช่องทาง ทักษะการบริหารค่าใช้จ่าย หรือทักษะการเก็บออมเพื่อไปลงทุนต่อยอด ทักษะพวกนี้จะทำให้คุณเป็นมี Peace of Mind ที่แท้จริง อะไรๆ ก็เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหน วันนึงบริษัทอาจจะปิดตัว แต่ถ้าเราบริหารการเงินมาดีๆ ต่อให้เราต้องออกจากงานจริงๆ เราก็จะไม่ลำบาก อย่างน้อยๆ ก็จะมีเวลาพอที่จะตั้งหลักและหาทางไปต่อได้
สามข้อนี้อ่านดูแล้วเหมือนง่ายใช่ไหมครับ ? แต่ผมบอกเลยว่า “ไม่ง่าย” แต่ข่าวดีคือ ทุกคนทำได้ครับ ขอแค่คุณต้องเริ่มลงมือทำ “วันนี้เลย” อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว ตอนนี้เราทุกคนอยู่ในโลกแบบที่ว่าเรียบร้อยแล้ว เรากำลังได้ผลกระทบจากโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว ลองมองไปเมื่อ 5 ปีที่แล้ว เทียบกับวันนี้สิครับ ว่าโลกการทำงานเราเปลี่ยนไปแค่ไหน
ตอนนี้โลกกำลังแบ่งมนุษย์เงินเดือนอย่างเราเป็น 2 ด้าน ด้านนึงคือด้านของคนที่ปรับตัวไม่ทัน จนวันนึงอาจจะโดนปรับซะเอง ส่วนอีกด้านนึง คือด้านของคนที่ใช้ประโยชน์กับเทคโนโลยีได้ และเข้าใจโลกที่เปลี่ยนไป มองมันเป็นเรื่องบวก อย่างที่บอกตอนต้นครับ ถ้ารู้ว่าพระอาทิตย์จะขึ้นตอนเช้า ก็ออกไปหากิจกรรมมันๆ กลางแดดเล่นซะเลย สุดท้ายคนกลุ่มหลังนี่ล่ะครับ ที่จะได้ประโยชน์ไปแบบเต็มๆ
ผมอยากเชิญชวนทุกคนที่กำลังอ่านบทความนี้อยู่ มาเป็นคนกลุ่มหลัง เริ่มต้นลงมือทำตั้งแต่ตอนนี้เลย ลองดูนะครับ ! อ่านบทความนี้จบแล้ว หยิบปากกาขึ้นมาเขียนเลย ว่าเราจะทำอะไรบ้าง เพื่อตอบโจทย์ 3 ข้อข้างบน ผมเชื่อว่าถ้าคุณเริ่มทำมันทันที มองมันเป็นเรื่องดี คุณจะสนุกไปกับโลกใบใหม่นี้แน่นอน
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับคุณครับ ถ้าใครคิดว่าบทความนี้จะช่วยคนที่คุณรักได้ ฝากแชร์ไปให้พวกเค้าด้วยนะครับ
10 นักฟุตบอลชื่อดัง มีบ้านแพงอลังการ!
2024-04-26
ไอเดียแต่งบ้าน-คอนโดฟีลโรแมนติก รับวาเลนไทน์
2025-02-07
กู้ซื้อบ้านมือสอง มีขั้นตอนอย่างไร ใช้อะไรบ้าง มือใหม่ต้องรู้!
2024-07-08
แจก 50 แคปชั่นอวยพรขึ้นบ้านใหม่ 2568 รวมความหมายดี ๆ ที่อยากแชร์
2025-02-07
ส่องตัวอย่าง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่ร่วมทุนกับ ญี่ปุ่น
2024-09-13
เหนือ Developer ก็มี Blogger นี่แหล่ะค่ะ ทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้น ขอบคุณค่ะ
เยี่ยมเลยค่ะ
อ่านง่ายดีค่ะ
ชอบนะคะ บทความหลากหลายดี
คือชอบมาก มีให้อ่านหลากหลายมาก
ชอบๆ มีสาระประโยชน์มากค่ะ