4 หนังคริสต์มาส Netflix เพิ่มความฟินอินไปกับเทศกาล

พอมีช่วงวันเวลาหรือเทศกาลสำคัญๆ ก็จะมีกิจกรรมหรือภาพยนตร์มาให้เราทำหรือดู เพื่อความผ่อนคลายเพลิดเพลิน ยิ่งช่วง วันคริสต์มาสใกล้ปีใหม่ด้วยแล้วนั้น ไม่ว่าจะเป็น การ์ตูน ภาพยนตร์ ซีรีส์ ต่างทำออกมาให้ทุกคนได้ดูกันอย่างต่อเนื่อง ยิ่งโดยเฉพาะใน Netflix มีแต่เรื่องน่าสนใจให้เราดูกันได้ทั้งวัน

1. Klaus มหัศจรรย์ตำนานคริสต์มาส

อนิเมชั่นที่มาจากประเทศสเปน มีเนื้อหาที่ตัวเอกของเรื่องมีเหตุให้ต้องไปเป็นบุรุษไปรษณีย์ที่เมืองอื่น โดยต้องทำภารกิจในการส่งจดหมายผ่านไปรษณีย์ให้สำเร็จ ฟังเหมือนเรื่องง่ายแต่มีความซับซ้อนตรงที่ ดันมีสองตระกูลที่เป็นศัตรูคอยทะเลาะกันเป็นประจำ เลยทำให้ไม่มีใครส่งจดหมายหากันเลยน่ะสิ ตัวเอกจะแก้ไขปัญหานี้อย่างไร และซานตาครอสไปเกี่ยวข้องตอนไหนต้องไปติดตามกันต่อเอาเองนะ

ยกให้เป็นการ์ตูนเรื่องโปรดในดวงใจก็ว่าได้ มีครบทุกอารมณ์ ยิ้ม หัวเราะ เศร้า จากเหล่าตัวการ์ตูนทั้งหลาย ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ภาพวาดขั้นละเอียดแบบเพอร์เฟก กลับออกไปในทางเรียบง่ายเสียมากกว่า แต่ก็เพลินตาได้เหมือนกัน เพลงประกอบก็เพราะฟังซึ้งเข้ากับหนังได้อย่างลงตัว เรื่องนี้ได้ทั้งความสนุกสนานดูคลายเครียด แต่อีกแง่มุมหนึ่งก็ให้แง่คิดที่มีประโยชน์

สะท้อนถึงการใช้ชีวิตของมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้ที่มีทั้งดีและไม่ดี แต่สุดท้ายแล้วความรักความเป็นมิตรภาพ การยอมรับซึ่งกันและกัน รวมถึงการทำดีและส่งต่อความสุขให้ผู้อื่น จะทำให้เรามีคุณค่าในตัวเองเสมอ คือเด็กดูได้ผู้ใหญ่ควรดูอย่างยิ่ง!!

2. The Christmas Chronicles ผจญภัยพิทักษ์คริสต์มาส ภาค1-2

เรื่องนี้มีถึงสองภาคด้วยกัน ขอเริ่มที่ภาคแรกก่อน มี 2 พี่น้อง คนโตเป็นผู้ชายคนน้องเป็นผู้หญิง ที่ได้พบเจอกับซานตาครอสตัวจริงเสียงจริง แต่ดันมีเรื่องวุ่นวายให้ของขวัญที่ต้องเอาไปให้เด็กคนอื่นๆ กระจัดระจายไปคนละทิศละทาง แถมพลังวิเศษของซานต้าก็ดันหายไปอีก จะทำยังไงให้แจกของได้ทันวันคริสต์มาส

ส่วนภาคสองจะเน้นไปที่ บ้านที่ซานตาครอสอาศัยอยู่พร้อมกับเหล่าเอลฟ์ทั้งหลาย ซึ่งเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจากตัวร้าย ที่จ้องจะทำลายหมู่บ้าน และวันคริสต์มาสให้หายไปจากโลกใบนี้ โดยมีคนน้องจากภาคแรกเข้ามาร่วมเหตุการณ์สำคัญเพื่อปกป้องเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี

ถ้าถามว่าชอบภาคไหนส่วนตัวชอบการดำเนินเรื่องของภาคแรกมากกว่า เนื้อหาดูสนุกสนานเพลินทั้งเรื่อง สำหรับภาคสองพอได้ดูก็แอบมีง่วงนิดหน่อยเนื้อหาไม่ค่อยปะติดปะต่อ แถมตัวเอกพี่ชายที่อยู่ในภาคแรกก็ไม่ได้มาร่วมเล่นด้วย แต่ที่ประทับใจสุดคืองานซีจีภาพสวยตาแตก ยิ่งเหล่าเอลฟ์ทั้งหลายคือน่ารักมากแบบมากกกกกกก มีเอกลักษณ์ในแต่ละตัว ซึ่งเชื่อว่าเด็กๆ เห็นต้องอยากให้มาอยู่ที่บ้านด้วยแน่นอน

ยอมรับในฝีมือของนักแสดงโดยเฉพาะ “เคิร์ต รัสเซลล์” ที่รับบทเป็นซานตาครอส มีความแพรวพราวในการแสดงรู้สึกว่าทำให้หนังดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น นักแสดงคนอื่นๆ ก็เล่นได้ดีเช่นเดียวกัน ย้ำอีกที! หลงรักบรรดาเอลฟ์ในเรื่องนี้มากจริงๆ

3. The Princess Switch สลับตัว ไม่สลับหัวใจ ภาค 1 

The Princess Switch: Switched Again สลับแล้วสลับอีก ภาค2

มาภาพยนตร์โรแมนติกแนวเจ้าหญิงเจ้าชายกันบ้าง ภาคแรกเล่าถึงหญิงสาว (สเตซี่) ที่ต้องเดินไปอีกประเทศหนึ่งเพื่อแข่งทำขนมพร้อมกับเพื่อนชาย แต่ดันบังเอิญไปเจอกับเจ้าหญิง (มากาเรต) ที่หน้าเหมือนกันราวกับฝาแฝด และอยากสลับตัวจนเกิดเรื่องราววุ่นวายขึ้น

ภาคสองแม้สเตซี่จะสมหวังกับเจ้าชาย แต่เจ้าหญิงมากาเรตที่เป็นฝาแฝดกลับผิดหวังในความรัก เพราะต้องขึ้นรับตำแหน่งเป็นราชินี ทำให้สเตซี่ต้องมาหาถึงที่เพื่อให้มากาเรตได้สมหวังในความรักอีกครั้ง แต่เรื่องวุ่นคูณสองเพราะมีฝาแฝดอีกหนึ่งคน ซึ่งเป็นญาติกับเจ้าหญิงต้องการแย่งชิงสมบัติ ปัญหาความรักไม่ทันแก้แถมตำแหน่งก็จะถูกแย่งทำยังไงดีล่ะทีนี้?!

แม้จะเป็นสูตรสำเร็จของหนังรักทั่วไป แต่ก็ได้อารมณ์ฟีลกู๊ดอยู่นะ มีการดำเนินเรื่องต่อเนื่องจากภาคแรกไปภาคสอง ให้คนดูได้ยิ้มและหัวเราะไปกับหนังได้ไม่ยาก มีความเพ้อฝันเบาๆ น่าจะถูกใจสาวๆ เลยแหละ ข้อดีอีกหนึ่งอย่างของเรื่องนี้คือเสียงพากย์ไทยทำได้ดีทีเดียว ฟังรื่นหูดูสนุก

ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้ “วาเนสซ่า ฮัดเก้น” น่าจะฟินกันไปทั้งเรื่อง เพราะแฝดสองว่าทำดีแล้ว ภาค 2 แฝดสามกันไปเลยค่า! แสดงให้เห็นถึงสามบุคลิกได้อย่างเยี่ยมยอด ข้าน้อยขอคาราวะสุดๆ 

4. The Knight Before Christmas อัศวินก่อนวันคริสต์มาส

เรื่องสุดท้ายยังคงเป็นหนังรักแต่คนละแนว โดยพระเอกเป็นอัศวินในยุคอดีตที่ข้ามเวลามายังโลกปัจจุบัน และโดนรถชนซึ่งนางเอกเป็นคนขับ ทำให้คิดว่าพระเอกสติไม่ดี จากการแต่งตัวคำพูดและท่าทางที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราว แต่แท้จริงแล้วพระเอกมีภารกิจบางอย่างที่จะต้องทำให้สำเร็จก่อนวันคริสต์มาส

เป็นหนังรักโรแมนติกที่ ตอนแรกดำเนินเรื่องได้สนุกสนานชวนติดตาม มีความตลกของพระเอกที่ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยี น่าเสียดายที่พอกลางจนถึงท้ายเรื่องมีความเอื่อยไปหน่อย แต่ก็ถือว่าดูได้แบบไม่ต้องคิดอะไรมากมาย และเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ยังคงได้นักแสดงนำหญิงเป็น “วาเนสซ่า ฮัดเก้น” ซึ่งก็ทำได้ดีตามมาตรฐานของนาง ขณะที่พระเอกแม้จะไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าแต่ก็แสดงออกมาได้น่ารักโดดเด่นไม่แพ้กันเลย 

หนึ่งสิ่งที่หนังเรื่องนี้ต้องการจะสื่อคือ ความเชื่อความศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน การที่เราไม่เชื่อแบบนั้นไม่ได้หมายความว่าไม่มีจริง (แต่ในชีวิตจริงบางครั้งความเชื่อก็ดูเป็นเรื่องๆ ไปนะ ฮ่าาา) เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้บนโลกใบนี้

หากไม่มีแพลนว่าจะออกไปเที่ยวไหน ลองใช้วันว่างเข้า Netflix เปิดหนังเกี่ยวกับวันคริสต์มาสที่เราแนะนำว่าถ้าได้ดูแล้วรับรองไม่มีเครียด ดูแล้วผ่อนคลายมีรอยยิ้มที่มุมปาก ให้รู้สึกอารมณ์ดีไปทั้งวัน