รายการโปรด
"ชีวิตเมื่อทำได้ตามความฝัน วันนั้นฉันคงได้กลับ เอาฝันไปกราบเท้า"
เป็นท่อนที่ฟังเมื่อไหร่ก็จุกทุกทีเลยครับกับเพลง "ทางกลับบ้าน" ของพี่ตูนที่วิ่งจนจะครบทุกจังหวัดในประเทศไทยอยู่แล้ว ซึ่งที่มันกระแทกความรู้สึกได้มากขนาดนี้ ผมคิดว่าเพราะมันตรงกับความเป็นจริงของบ้านเราครับ เมืองไทยเรามีวัฒนธรรมการกลับบ้านไปหาพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ในวันเทศกาลต่าง ๆ อยู่แล้ว โดยเฉพาะปีใหม่นี่กลับบ้านกันจนกรุงเทพกลายเป็นเมืองร้างไปเลย
ตอนสมัยเด็กผมก็เคยสงสัยนะว่า "ทำไมต้องกลับบ้าน ?" ปีนึงจะได้หยุดยาว 1-2 ครั้งเอง ขอไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ได้หรอ เพื่อน ๆ เขาได้ไปเที่ยวกัน แต่เราต้องกลับไปนั่งเฉย ๆ ทำไมต้องบังคับกันด้วย (แอบน้อยใจพ่อแม่) ...
แต่แล้วพอเป็นผู้ใหญ่ก็ได้เข้าใจครับว่า การกลับบ้านช่วงปีใหม่ ไปเจอพ่อแม่ เจอญาติพี่น้อง มันได้อะไรมากกว่าที่คิดเยอะมาก ผมจะเล่าให้ฟังครับว่ามันมีอะไรบ้าง
ขอบคุณภาพจาก thairath.co.th
ได้รู้จักการให้
ผมคิดว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตของเราคือ "เวลา" ครับ เวลาในชีวิตเรามีจำกัดและมันไม่มีวันย้อนคืน ยิ่งพ่อกับแม่นั้นเหลือเวลาน้อยกว่าเราเยอะครับ ไม่นานเวลาของพวกเขาก็หมดแล้ว ดังนั้นผมคิดว่าเราควรใช้เวลากับพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ครับ เพราะช่วงที่มีความสุขที่สุดของพ่อแม่ก็คือเวลาที่ลูกกลับมาหานี่แหละครับ
นอกจากนี้ ถ้าอยู่ในวัยที่มีลูกมีหลานแล้วล่ะก็ ไม่ได้ให้แค่เวลาแน่ครับ แต่มันจะรวมถึงของเล่น และเงินในกระเป๋าที่ต้องให้ลูกหลานที่รออยู่บ้านอีกต่างหาก งานนี้ใครที่ครอบครัวใหญ่หน่อย ผมบอกเลยว่ากระเป๋าฟีบแน่ lol
ได้รักษาสายสัมพันธ์เครือญาติ
อย่างที่บอกไว้ตอนแรกแหละครับว่า การกลับบ้านช่วงปีใหม่เป็นวัฒนธรรมของบ้านเราไปแล้ว เพราะงั้นพอถึงเทศกาลปีใหม่ ทั้งพี่ ป้า น้า อา ฯลฯ ทุกคนก็จะกลับไปรวมกันที่บ้าน พบปะพูดคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของกันและกัน บางคนอาจรำคาญแต่ผมว่าถือเป็นข้อดีนะ เพราะต่างคนก็ทำงานอยู่คนละที่กัน ทั้งปีแทบไม่ได้เจอกันเลย ก็ถือเอาช่วงปีใหม่ที่แหละที่จะได้กลับมาพบหน้ากันสักที เดี๋ยวจะลืมหน้ากันไปซะก่อน
ได้ชาร์จแบตให้ร่างกาย
หากลองคิดดูดี ๆ แล้ว... การได้ไป Hang Out สุดเหวี่ยงกับเพื่อน ๆ หรือไปสวีทกับแฟนบนภูทับเบิก มันมีความสุขแค่ไหนกัน เทียบกับการได้กลับบ้าน ไปไหว้ผู้ให้กำเนิดและเลี้ยงดูเรามา ไปทำให้ท่านยิ้ม ท่านหัวเราะ ได้นอนเอกเขนกในบ้านที่เราเติบโตขึ้นมา เติมพลังชีวิตที่ใช้มาทั้งปีให้เต็มอีกครั้ง อย่างไหนจะมีความสุขมากกว่ากัน ? สำหรับผมแล้วตอบได้แบบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยครับ ... ผมเลือกกลับบ้าน
ได้ใช้เวลาทบทวนตัวเอง
ดูเผิน ๆ การใช้ชีวิตในเมืองหลวงที่มีทุกอย่างครบจนแทบไม่ต้องขยับตัวนั้น อาจดูสบายและเป็นชีวิตในฝันที่น่าอิจฉา แต่ผมว่าที่จริงแล้วไม่ใช่เลย กระแสสังคมที่ไหลผ่านเราอย่างรวดเร็วนั้นอาจทำให้เราหลงลืมตัวตน หลงลืมเป้าหมาย รวมถึงหลงลืมคนข้างหลังที่รอคอยเราอยู่ก็ได้ ... การกลับบ้านช่วงปีใหม่จึงเป็นเวลาที่เหมาะมากที่จะได้ทบทวนตัวเอง ดึงตัวตนของเรากลับมาอีกครั้ง
ได้พบความหมายของชีวิต
ถ้ามีโอกาสผมมักจะบอกกับเพื่อน ๆ หรือน้อง ๆ อยู่เสมอว่า ชีวิตเรามันต้องมีจุดหมายนะ ที่ทำงานหาเงินอยู่ทุกวันนี้ ต้องรู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นมันจะรู้สึกเคว้งและไม่มีสิ่งยึดเหนี่ยวครับ และทุกครั้งที่ผมได้กลับบ้าน ได้ออกห่างจากความเครียดของงาน ของคนรอบข้าง และความเครียดของเมืองใหญ่ กลับไปบ้านที่เงียบสงบ เป้าหมายในใจของผมมันจะชัดขึ้นมาทุกครั้งเลยครับว่า ที่เหนื่อยทุกวันนี้ ทำไปเพื่ออะไร
สำหรับผมแล้วการกลับบ้านปีใหม่นั้นมันมีความหมายมากกว่าแค่ฝ่ารถติดบนถนน 5-6 ชั่วโมง เพื่อไปนอนเฉย ๆ มากเลยครับ เพราะที่ตรงนั้นมีพ่อ มีแม่ มีญาติพี่น้อง มีตัวเอง มี "ความหมาย" รออยู่ที่นั่น ไม่ว่าจะใช้เวลาเท่าไหร่ เหนื่อยแค่ไหน ผมว่ามันคุ้มนะ
ปีใหม่นี้ กลับบ้านไปไหว้พ่อ นอนหนุนตักแม่กันนะครับ เดินทางโดยสวัสดิภาพครับ :))
แต่งห้องเซอร์ไพรส์คนรัก รับวาเลนไทน์
2019-02-12
5 ข้อห้าม การตกแต่งบ้าน ที่ทำให้ดูไม่แพง
2020-01-28
4 แบรนด์ โซฟาเบดดีไซน์ล้ำ พับได้ประหยัดพื้นที่
2020-04-23
รวมวิธีจัดการกลิ่นอับในบ้านช่วงหน้าฝน ง่ายๆ หายเหม็นชัวร์
2019-06-07
4 หนังคริสต์มาส Netflix เพิ่มความฟินอินไปกับเทศกาล
2020-12-23
เนื้อหาบทความเข้าใจง่าย ตัดสิ้นใจง่ายขึ้เลยครับ
อ่านเเล้วอยยากเห็นหน้านักเขียนเลยค่ะ 555555
เขียนดีขนาดนี้ เอาใจพี่ไปเลย