News

JLL ชี้ภาษีที่ดินฯ แรงกระตุ้นเจ้าของเร่งเปิดขาย-เผยต้นปีปิดดีลมูลค่า 3.6 พัน ล.

LivingInsider Report 2018-02-01 11:27:24

JLL ชี้ภาษีที่ดินฯ แรงกระตุ้นเจ้าของเร่งเปิดขาย-เผยต้นปีปิดดีลมูลค่า 3.6 พัน ล.

 

บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล เปิดเผยว่า ในปี 2560 ที่ผ่านมา กรุงเทพฯ มีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงเกิดขึ้นหลายรายการ ซึ่งในจำนวนนี้มี 3 รายการที่จัดอยู่ในกลุ่มการซื้อขายที่มีมูลค่าสูงสุด

 

และมีเจแอลแอล ได้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนขาย คิดเป็นมูลค่ารวม 7.9 พันล้านบาท ส่วนในปีนี้ เจแอลแอล เชื่อว่าจะมีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์รายการใหญ่ ๆ เกิดขึ้นอีก เนื่องจากราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และโอกาสการทำกำไร จะยังคงจูงใจมีการนำอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีออกมาเสนอขายอีก

 

นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล กล่าวว่า “รายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงในกรุงเทพฯ ที่เจแอลแอล เป็นตัวแทนในปี 2560 ที่ผ่านมา ล้วนเป็นการเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาด แตกต่างจากปี 2559 ที่เป็นดีลการให้เช่าระยะยาว”

 

ในปี 2559 เจแอลแอล ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนปล่อยเช่าที่ดินใจกลางศูนย์กลางธุรกิจสองรายการ ได้แก่ ที่ดินขนาด 6 ไร่ บนถนนสีลม อายุสัญญา 50 ปี โดยมีบริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด ร่วมกับบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการยื่นเสนอค่าเช่า

 

โดยทั้งสองบริษัทได้ร่วมลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานเกรดเอ บนที่ดินแปลงดังกล่าว ส่วนที่ดินอีกแปลงตั้งอยู่บนถนนเพลินจิต ขนาดราว 6 ไร่เช่นกัน อายุสัญญาเช่า 30 ปี โดยบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ชนะการยื่นเสนอค่าเช่า ทั้งนี้ การให้เช่าที่ดินทั้งสองรายการมีมูลค่าสัญญาเช่ารวมกันทั้งสิ้นกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท

 

สำหรับปี 2560 ที่ผ่านมา เจแอลแอล ได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนในการเสนอขายกรรมสิทธิ์ขาดสำหรับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มที่มีมูลค่าสูงสุดแห่งปีในกรุงเทพฯ รวม 3 รายการ ได้แก่

 

ที่ดินขนาด 7 ไร่ 382 ตารางวา บนถนนสาทร ซึ่งเดิมเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ชนะการเสนอราคาโดยบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)

 

โรงแรมพรีเมียร์ อินน์ ขนาด 224 ห้อง บนถนนสุขุมวิท ขายให้กับกลุ่มโฮเทล เอทตี้วัน ซึ่งหลังเปลี่ยนมือได้เปลี่ยนชื่อเป็นทราเวลลอดจ์ สุขุมวิท 11

 

โครงการโรงแรมที่มีการก่อสร้างค้างไว้บนถนนสุขุมวิท ขายให้กับกลุ่มโรงแรมคาร์ลตันจากสิงคโปร์

 

ในบรรดาอสังหาริมทรัพย์ 3 รายการดังกล่าว ที่ดินอดีตที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย บนถนนสาทร นับเป็นการขายรายการใหญ่สุดที่เจแอลแอล เป็นตัวแทนขายในปีที่ผ่านมา และยังเป็นรายการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงสุดในเขตศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ในปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน

 

อนึ่ง นายประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ชนะการประมูลซื้อที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา บนถนนสาทร ติดถนนสวนพลู มูลค่าที่ดิน 4,600 กว่าล้านบาท หรือคิดเป็นตารางวาละ 1.45 ล้านบาท

 

ซึ่งจะเตรียมพัฒนาที่ดินเป็นโครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัย และอาคารสำนักงานให้เช่า โดยตั้งใจพัฒนาให้โดดเด่นสวยงามเป็นแลนด์มาร์กใหม่ในย่านถนนสาทร สีลม โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท

 

นางสุพินท์ กล่าวว่า “ผู้ขายมีแรงจูงใจที่ต่างกันไป ตัวอย่างเช่น ที่ดินสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย ถูกเสนอขายหลังจากสถานเอกอัครราชทูตย้ายไปยังสถานที่ทำการใหม่ใกล้สวนลุมพินี ส่วนโรงแรมพรีเมียร์อินน์บนถนนสุขุมวิท เจ้าของเดิม คือ บริษัทวิทเบรดที่อังกฤษ ซึ่งตัดสินใจขายโรงแรมพรีเมียร์อินน์ในประเทศไทย

 

ทั้งที่กรุงเทพฯ และพัทยา ตามแผนธุรกิจใหม่ของบริษัทที่ต้องการถอนการลงทุนออกจากเอเชีย เพื่อหันไปเน้นเฉพาะตลาดยุโรป และตะวันออกกลาง คล้ายกับกรณีที่บริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) ที่ตัดสินใจขายโครงการโรงแรมที่สร้างยังไม่เสร็จบนถนนสุขุมวิท ที่เคยซื้อไว้เมื่อสี่ปีก่อนหน้า หลังบริษัทเปลี่ยนแผนธุรกิจ”

 

เจแอลแอล คาดว่า ในปี 2561 จะยังคงมีการลงทุนซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มูลค่าสูงในกรุงเทพฯ เกิดขึ้นให้เห็นอีก เนื่องจากยังมีอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีเสนอขายอยู่ในขณะนี้ โดยในช่วงเริ่มต้นของปี เจแอลแอล ได้เป็นตัวแทนปิดการขายที่ดินในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ไปแล้วสองแปลง รวมมูลค่ากว่า 3.6 พันล้านบาท

 

โดยแต่ละแปลงมีขนาดประมาณ 2 ไร่ อย่างไรก็ตาม บริษัทไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมได้ เนื่องจากต้องปฏิบัติตามสัญญาการรักษาข้อมูลการซื้อขายที่ตกลงไว้กับผู้ขาย และผู้ซื้อ แต่เชื่อว่า ผู้ซื้อแต่ละรายจะมีการประกาศแผนการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์บนที่ดินดังกล่าวต่อสาธารณะในเร็ว ๆ นี้

 

“เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีการคาดหมายว่า ความกังวลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ที่รัฐบาลมีแผนประกาศใช้ จะกระตุ้นให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นำอสังหาริมทรัพย์ออกมาเสนอขายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่ดินเปล่า หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง

 

โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าสูง และไม่มีการใช้ประโยชน์ หรือใช้ประโยชน์ไม่เต็มศักยภาพ แต่จากการซื้อขายที่เกิดขึ้นจริงเมื่อเร็ว ๆ นี้ และที่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการในขณะนี้ สะท้อนให้เห็นว่า เหตุผลหลักที่กระตุ้นให้เกิดการขาย คือ โอกาสการขายในราคาสูง รวมถึงการทำกำไร” นางสุพินท์ กล่าว

 

นางสุพินท์ กล่าวต่อไปอีกว่า “ขณะนี้ ยังมีการเจรจาซื้อขายอีกสองสามรายการสำหรับแปลงที่ดินขนาดพอเหมาะสำหรับการพัฒนาโครงการในทำเลชั้นดี และโรงแรมที่มีคุณภาพ ซึ่งเจ้าของสนใจขายโดยมีแรงจูงใจจากการได้รับข้อเสนอราคาที่ดีจากผู้สนใจซื้อ”

 

“เชื่อว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างฉบับใหม่ จะเริ่มมีผลต่อการตัดสินใจขายมากขึ้น เมื่อมีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับรายละเอียด และกำหนดเวลาที่จะประกาศใช้ แต่อาจไม่มีผลทำให้ผู้ซื้อสามารถกดราคาซื้อได้ โดยเฉพาะสำหรับอสังหาริมทรัพย์ชั้นดีที่เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะทันทีที่มีการนำอสังหาริมทรัพย์เหล่านี้ออกมาเสนอขาย จะมีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และนักลงทุน เข้าร่วมแย่งชิงอย่างแน่นอน” นางสุพินท์ กล่าว.

 

 

ขอบคุณภาพและข่าวจาก MGR ONLINE

 

https://mgronline.com/stockmarket/detail/9610000009679

 

 

>> ช่องทางในการติดตามข่าวสาร <<
ไม่พลาดข่าวสำคัญ แค่กดเป็นเพื่อนกับ ไลน์ @livinginsider ที่นี่

บทความอื่นๆ

livinginsider livinginsider