
หน้าแรก
“กลุ่มมโนธรรมรักษา” ผนึกทุนจีนผุดคอนโดฯ โลว์ไรส์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” พร้อมดึงเชน WYNDHAM บริหาร สร้างความเชื่อมั่น ผลเศรษฐีรัสเซียแห่ซื้อเพียบ ตั้งเป้าปั้นเป็น “มินิลากูนา” กางแผน 2 ปี เตรียมผุดวิลล่า-คอนโดฯ มูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท มั่นใจทุกโครงการออกแบบ-ใช้วัสดุคุณภาพ-ก่อสร้างได้มาตรฐาน รองรับแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด
นายวีระวิทย์ มโนธรรมรักษา รองประธาน บริษัท บีสตาร์ท เฮฟเว่น จำกัด เปิดเผย ถึงภาพรวมตลาดอสังหาฯ จังหวัดภูเก็ต ว่า จากข้อมูลของ แผนกวิจัยและการสื่อสาร บริษัท คอลลิเออร์ส (ประเทศไทย) จำกัด พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 1/2568 ที่ผ่านมา ในพื้นที่ภูเก็ต มีโครงการคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศเปิดขายใหม่มากกว่า 45 โครงการ ด้วยมูลค่าการลงทุนรวมมากกว่า 49,160 ล้านบาท
ขณะที่ในปี 2568 ภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในจังหวัดภูเก็ตจะยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง แต่อุปทานเปิดขายใหม่อาจปรับตัวลดลงเล็กน้อยอยู่ที่ประมาณ 8,000-10,000 ยูนิต เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีอุปทานเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่า 20,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง
โดยทำเลย่านในทอน ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีศักยภาพในการพัฒนาอสังหาฯ มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยพบว่าในช่วงก่อนหน้ามีโครงการบ้านพักตากอากาศระดับลักซ์ชัวรีเปิดขายที่ระดับราคาขายมากกว่า 100 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งปัจจุบันอุปทานเหล่านี้ถูกซื้อขายจากกลุ่มกำลังซื้อระดับบนเป็นที่เรียบร้อยทุกยูนิต
และทำเลแห่งนี้กำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นจากผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ทั้งในกลุ่มของคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศ โดยเฉพาะจากกลุ่มนักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มองเห็นศักยภาพของพื้นที่ชายฝั่งที่ยังคงมีความเป็นธรรมชาติและไม่หนาแน่นจนเกินไป
หนึ่งในจุดเด่นของย่านในทอนคือ ยังไม่มีการแข่งขันด้านอสังหาฯ สูงมากนัก โดยพบว่าปัจจุบันในพื้นที่ย่านในทอนมีอุปทานคอนโดฯ ที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 2 โครงการ 820 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.18 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด
และสำหรับบ้านพักตากอากาศพบว่า ปัจจุบันมีอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายเพียงแค่ 6 โครงการ 113 ยูนิตเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียงแค่ร้อยละ 2.75 ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมดในตลาด ซึ่งถือว่าน้อยเป็นอย่างมาก ทำให้ตลาดในพื้นที่นี้มีความน่าสนใจในด้านโอกาสการเติบโตในอนาคต รวมถึงความเป็นไปได้ในการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งในระยะกลางและระยะยาว
อีกทั้งย่านในทอนยังมีความได้เปรียบในเรื่องของสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เป็นธรรมชาติ และเหมาะกับการอยู่อาศัยแบบพักผ่อนหรือการพัฒนาเป็นรีสอร์ตระดับพรีเมียม ใกล้กับสนามบินนานาชาติภูเก็ตและอยู่ไม่ไกลจากแหล่งอำนวยความสะดวกสำคัญ เช่น สนามกอล์ฟหรู โรงแรมระดับห้าดาว และร้านอาหารชั้นนำ
จากแนวโน้มดังกล่าว ย่านในทอนจึงถูกจับตามองว่าอาจกลายเป็น “ดาวรุ่ง” ดวงใหม่ของตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ต ที่สามารถดึงดูดทั้งกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุนที่มองหาโอกาสในการปล่อยเช่าหรือเพิ่มมูลค่าในอนาคต
สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ซื้อคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนต่างชาติที่มองหาที่อยู่อาศัยหรือบ้านพักตากอากาศในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มชาวรัสเซียที่หนีภัยสงครามเข้ามาหาซื้อพูลวิลล่าในภูเก็ต
นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนจากยุโรป สแกนดิเนียเวีย รัสเซีย จีน และอินเดียที่สนใจซื้ออสังหาฯ ในภูเก็ต โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังที่สองหรือที่อยู่อาศัยระยะยาว ซึ่งการซื้ออสังหาฯ รูปแบบLeasehold (เช่าระยะยาว 30 ปี) เป็นที่นิยมในกลุ่มนี้
ส่วนกลุ่มลูกค้าชาวไทยที่ซื้อคอนโดฯ และบ้านพักตากอากาศในย่านในทอน ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการที่อยู่อาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบาย บางรายอาจซื้อเพื่อการลงทุนหรือปล่อยเช่าในระยะยาว โดยรวมแล้ว ตลาดอสังหาฯ ในย่านในทอนยังคงมีความน่าสนใจสำหรับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ เนื่องจากทำเลที่ตั้งที่เงียบสงบและมีศักยภาพในการพัฒนาในอนาคต
ส่วนราคาที่ดินย่านในทอน พบว่าที่ดินพื้นที่เชิงเขา ที่ดินมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 15-30 ล้านบาทต่อไร่ สำหรับที่ดินใกล้ชายหาดจะมีราคาเสนอขายอยู่ที่ประมาณ 25-50 ล้านบาทต่อไร่
นายวีระวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้ปัจจุบันตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตจะมีการแข่งขันที่ดุเดือด จากการที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาชิงส่วนแบ่งในตลาดกันมาก แต่ตนมองว่าไม่มีผลกระทบ เพราะทางคุณพ่อของตน คือ “นายทนงศักดิ์ มโนธรรมรักษา” ได้เห็นศักยภาพ และมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล จึงได้ซื้อที่ดินย่านหาดในทอน เมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
โดยมีทั้งที่ดินที่ซื้อเองและเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี จนถึงปัจจุบันมีรวมทั้งสิ้นประมาณ 80 ไร่ ทั้งนี้ เพื่อเก็บเป็น ASSET PROPERTY ของครอบครัว ถือว่าเป็นแลนด์ลอร์ดที่ถือครองที่ดินมากที่สุดในย่านหาดในทอน และเริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2562 ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างประเทศ โดยเฉพาะเศรษฐีรัสเซีย
และการได้รับการยอมรับจากเอเจนต์ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในภูเก็ต เพราะหลักการทำงานเอเจนต์ในภูเก็ต จะไม่สนใจในแบรนด์เล็ก หรือใหญ่ แต่สนใจในเรื่อง Profile, สินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถการันตีผลตอบแทนการลงทุนให้ลูกค้าได้เป็นที่น่าพอใจ
เพราะภาพรวมการขายอสังหาฯ ในจ.ภูเก็ต นั้น คือต้องพึ่งพาช่องทางการตลาดขายผ่านเอเจนต์ มากถึง 70% และบริษัทฯ ก็ประสบความสำเร็จในเรื่องดังกล่าว มีลูกค้าเข้าซื้อและใช้บริการโครงการอย่างต่อเนื่อง
โดยโครงการแรกที่พัฒนาในปี 2562 คือ อาคารพาณิชย์ สูง 3 ชั้น บริเวณด้านหน้าถนนติดชายหาดในทอน จำนวน 20 ยูนิต แบ่งเป็น 3 คลัสเตอร์ ๆ ละ 7-8 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายเช่าระยะยาว 30 ปี ในราคา 7-8 ล้านบาท มูลค่าการลงทุนกว่า 100 ล้านบาท แต่ปัจจุบันได้ปรับแผนการพัฒนาใหม่ โดยปล่อยเช่าพื้นที่ชั้นล่างในแต่ละยูนิตเป็นร้านค้าต่าง ๆ ราคาประมาณ 30,000 บาท/เดือน ซึ่งปัจจุบันมีผู้เช่าเต็มทั้งหมด ส่วนชั้น 2-3 ปล่อยเช่าเป็นโรงแรม ซึ่งมีใบอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 74 ห้อง ราคา 1,500-4,500 บาท/คืน แล้วแต่ช่วงฤดูกาล
และปี 2562 ต่อเนื่อง 2563 ได้นำที่ดินประมาณ 12 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดฯ ร่วมทุนกับกลุ่มทุนอสังหาฯ จีน Bestart International Holdings มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ภายใต้แบรนด์ “ซีเฮฟเว่น ภูเก็ต ในทอน” (Seaheaven Phuket Naithon) แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส มูลค่าโครงการรวมว 1,500 ล้านบาท เน้นในรูปแบบของการขายเช่าระยะยาว 30 ปี + 30 ปี
โดยเฟสแรก มีจำนวน 1 อาคาร สูง 5 ชั้น ขนาด 37-70 ตารางเมตร จำนวน 124 ยูนิต ระดับราคาตั้งแต่ 4 ล้านบาทขึ้นไป (ปัจจุบันราคาขายปรับขึ้นเป็นเริ่มต้นที่ 5-6 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต) ปัจจุบันปิดการขายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนเฟส 2 เปิดการขายเมื่อปี 2566 เป็นคอนโดฯ สูง 5 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้นที่ 4.5 ล้านบาทขึ้นไป หรือเริ่มต้นที่ 120,000-130,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป (ปัจจุบันปรับขึ้นไปที่เริ่มต้น 170,000 บาท/ตารางเมตรขึ้นไป) ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 72%
เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า บริษัทฯ จึงได้ดึงเชนโรงแรมแบรนด์ WYNDHAM เข้ามาบริหารโครงการด้วย โดยการันตีผลตอบแทนการลงทุนที่ 7% ต่อปี หลังนั้นในปีที่ 6 เป็นต้นไปก็จะแบ่งผลประกอบการจากการปล่อยเช่าห้องพัก ในสัดส่วน 30:70 โดยลูกค้าที่เป็นเจ้าของห้องพัก จะสามารถเข้าพักในช่วงไฮซีซันได้ 10 วัน/ปี และช่วงโลว์ซีซัน ได้ 20 วัน/ปี
ซึ่งลูกค้าที่ซื้อและมาเช่าพักส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มเศรษฐีรัสเซียที่มาเป็นครอบครัว และมีความต้องการความเป็นส่วนตัวสูง โดยช่วงก่อนและหลังเทศกาลปีใหม่ 15 วัน สามารถปล่อยเช่าได้ในเรต 70,000 บาท/เดือน สำหรับคอนโดฯ ในเฟสที่ 2 จะเริ่มทยอยโอนได้ประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้
และเมื่อปลายปี 2566 ได้ขยายฐานการพัฒนาเอง 100% ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท เมอริส จำกัด ด้วยการนำที่ดิน 3 ไร่เศษ จากทั้งหมด 80 ไร่ มาพัฒนาวิลล่า แบรนด์ “ภูวิสต้า วิลล่า” ขนาด 70-160 ตารางวา ราคาขาย 32-72 ล้านบาท จำนวน 10 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 8 ยูนิต ลูกค้าที่ซื้อส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย, โปแลนด์ และมีคนไทยซื้อเพียง 2 ยูนิตเท่านั้น
ล่าสุดได้นำที่ดินอีก 4 ไร่ มาพัฒนาเป็นคอนโดฯ โลว์ไรส์ อีก 2 อาคาร ภายใต้แบรนด์ “Seaheaven” เฟส 3 ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มทุนจีนเช่นเดิม แบ่งการพัฒนาเป็น 2 เฟส รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท
โดยเฟสแรกเป็นคอนโดฯ สูง 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นที่ 30-70 ตารางเมตร ราคาขายตั้งแต่ 3.9-8 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 108 ยูนิต ปัจจุบันมียอดขายแล้วประมาณ 69% ส่วนเฟสที่ 2 จะพัฒนาเป็นคอนโดฯ อีก 1 อาคาร จำนวน 115 ยูนิต โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนตุลาคม หรือ พฤศจิกายน 2568 นี้ จึงยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้
“ถ้าพูดถึงภูเก็ตแล้ว โครงการที่เป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติมากที่สุดนั่นคือ ลากูน่า ภูเก็ต ซึ่งอยู่ในย่านบางเทา ถือเป็นลักซ์ชัวรีอสังหาฯ ในภูเก็ต และตั้งเป้าหมายที่จะให้อาณาจักรของ ‘บีสตาร์ เฮฟเว่น’ กลายเป็น ‘มินิลากูนา’ ในอนาคต ที่ลูกค้าสามารถเข้าใช้ทุกอย่างภายในโครงการได้ครบวงจร โดยคาดว่าที่ดินทั้ง 80 ไร่นี้ จะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนามากกว่า 5 ปีขึ้นไป ซึ่งข้อดีของเราคือไม่ได้เลือกพัฒนาในทำเล Red Ocean ดังนั้นการเลือกทำเลที่จะพัฒนาถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด” นายวีระวิทย์ กล่าว
นายวีระวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า แผนในระยะเวลา 2 ปีนี้ (2568-2569) มีแผนจะพัฒนาโครงการเองโดยไม่ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร จำนวน 2 โครงการ โดยในปี 2568 นี้จะเป็นการพัฒนาโครงการ “ภูวิสต้า แอร์พอร์ต” ตั้งอยู่บริเวณหาดในยาง บนพื้นที่ 15 ไร่เศษ ห่างจากสนามบินภูเก็ต เพียง 5 นาที ในรูปแบบของวิลล่า ขนาดตั้งแต่ 60-100 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 15-35 ล้านบาท จำนวน 44 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท โดยจะเปิดพรีเซลประมาณเดือนพฤษภาคม 2568 นี้
และปี 2569 มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส บนแลนด์แบงก์ย่านหาดในทอน จากทั้งหมด 80 ไร่ โดยเริ่มจากการเปิดตัวคอนโดฯ แบรนด์ “แซง โทเปซ” (Saint Tropez) สูง 7 ชั้น ขนาด 30-70 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.5-6 ล้านบาท จำนวน 100 ยูนิต มูลค่าโครงการ 450 ล้านบาท
และจากการที่มีผู้ทำนายว่า ภูเก็ต เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีความเสี่ยงจะเกิดสึนามิ และแผ่นดินไหวอีกนั้น มองว่าสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 ที่ผ่านมานั้น บริเวณย่านหาดในทอนนั้นแทบไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด เนื่องจากที่ตั้งจะถูกบดบังไว้ด้วยภูเขาทั้ง 2 ด้าน ทำให้ตัวหาดเหมือนอยู่ด้านใน
และในส่วนของบริษัทเอง ขณะนั้นซื้อที่ดินไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้มีการพัฒนาโครงการแต่อย่างใด จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด ประกอบกับที่ผ่านมาทางองค์การบริหารส่วนตำบลสาคู และอุทยานแห่งชาติสิรินาถ ได้มีการเตรียมรับมือด้านมาตรการป้องกันมานานแล้ว ทั้งในเรื่องสัญญาณเตือนภัย และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่อย่างต่อเนื่อง
ส่วนการรับมือจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวนั้น มั่นใจว่าโครงการของบริษัทที่พัฒนาขึ้นมานั้น ออกแบบและก่อสร้างได้ถูกต้องตามเงื่อนไขและมาตรฐานที่กำนด ซึ่งสามารถรองรับการเกิดแผ่นดินไหวได้ถึง 7.7 แมกนิจูด จึงไม่ค่อยมีความกังวลแต่อย่างใด ประกอบกับทุกอาคารที่พัฒนาไม่มีความสูงมาก และวัสดุที่ใช้ก่อสร้างก็มีคุณภาพและได้มาตรฐาน อีกทั้งงานก่อสร้างทางบริษัทก็เป็นผู้ควบคุมเองทั้งหมด
ในขณะที่กลุ่มพันธมิตรจากจีนจะเพียงแค่นำเม็ดเงินมาร่วมลงทุนให้เท่านั้น แต่การบริหารจัดการทางกลุ่มผู้บริหารคนไทยจะเป็นผู้ดำเนินการทั้งหมด ซึ่งทางครอบครัวก็มีประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาฯ มาช้านานหลายสิบปี ดังนั้นลูกค้าจึงมั่นใจในโครงการที่พัฒนาได้เป็นอย่างดี
TITLE ปลื้ม “เดอะ ไทเทิล วิลล่า เอสเตลลา ในยาง” Private Pool Villa โครงการแรก Sold Out ภายใน 2 เดือน ลุยต่อยอดความสำเร็จเปิดตัว “เดอะ ไทเทิล วิลล่า เชิงทะเล”
3 ชั่วโมงที่แล้ว
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์โยน Q1/68 กว่า 3,561 ลบ. ตุนแบ็กล็อก 45,389 ลบ. ทยอยรับรู้ต่อเนื่อง 5 ปี ขณะที่ธุรกิจคลังสินค้า อัตราเช่าสูง 97.6%
7 ชั่วโมงที่แล้ว
เมเจอร์ฯ สร้างมาตรฐานใหม่ตลาดอสังหาฯ เลี้ยงสัตว์ได้ ยกระดับบริการหลังการขาย ตอบโจทย์ครอบครัวทั้งคนและสัตว์เลี้ยง
7 ชั่วโมงที่แล้ว
The Creators HQ เปิดตัว “CIRA RESIDENCES” บ้านเดี่ยว Ultra Luxury โครงการแรก บนทำเลถ.ประดิษฐ์มนูธรรม เริ่ม 125 ลบ.*
7 ชั่วโมงที่แล้ว
RML เผยรายได้รวม Q1/68 โต 148%* พร้อมลุยต่อกลยุทธ์ Transformation Roadmap ตั้งเป้า Turnaround ในปีนี้
2025-05-16
เขียนรีวิวได้ใจมากครับ
ชอบลิฟวิ่งอินไซเดอร์มากค่ะ มีบทความดีๆให้อ่านแบบนี้ตลอดไปน่ะค่ะ
เยี่ยมมากๆ ครับ น่าสนใจ FC เลยครับ
ได้ความรู้มากๆเลยครับ
ครบทั้งข้อมูลโครงการ ทั้งข่าวอสังหาคัฟ สุดยอด