“NOBLE”โชว์ผลประกอบการ Q1/67 เติบโต ลุยเปิดตัวใหม่อีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 21,130 ลบ. ดันยอดขายเข้าเป้า 20,600 ลบ.

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ โชว์ผลประกอบการ Q1/2567 เติบโตแม้ Sentiment ในประเทศไม่เอื้ออำนวย ขณะที่ยอดขาย 4 เดือนแรกกวาดมากกว่า 4,300 ล้านบาท หลัง Momentum ลูกค้าต่างชาติอย่างดีต่อเนื่องจากปีก่อน เผยลูกค้าต่างชาติ 3 อันดับซื้ออสังหาริมทรัพย์ไทยสูง “พม่า-จีน- ไต้หวัน” ลุ้นยอดขายปีนี้มาตามนัดจำนวน 20,600 ล้านบาท ลุยเปิดตัวโครงการใหม่อีก 6 โครงการ มูลค่ารวม 21,130 ล้านบาท 

นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ หรือ NOBLE เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีรายได้รวมที่ 1,787 ล้านบาท หรือลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากเป็นการขายและส่งมอบโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Inventory) จากปี 2565-2566 เป็นหลัก

ทั้งนี้ หากดูยอดการโอนกรรมสิทธิ์รวมบริษัทร่วมทุนมีจำนวน 1,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% YoY ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก 5 โครงการ คือ นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว, นิว โนเบิล ไฟฉาย-วังหลัง, โนเบิล เอควา ริเวอร์ฟร้อนท์ ราษฎร์บูรณะ,   โนเบิล สเตท 39 และ โนเบิล เทอร์รา พระราม 9–เอกมัย รวมถึงกำไรสุทธิอยู่ที่ 79 ล้านบาท หรือเติบโต 8% YoY

สำหรับในช่วง Q1/2567 บริษัทฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ ได้แก่ โนเบิล นอร์ส กรุงเทพกรีฑา โครงการบ้านเดี่ยว มูลค่า 1,480 ล้านบาท มียอดขายสะสมที่ 9% ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าภายในประเทศ ส่งผลให้มียอดขายสำหรับ 4 เดือนแรกของปีได้มากกว่า 4,300 ล้านบาท

ทั้งนี้ ยอดขายส่วนใหญ่นั้นมาจาก โครงการดิ เอ็มบาสซี่ แอท ไวร์เลส, โนเบิล นอร์ส กรุงเทพกรีฑา, โนเบิล สเตท 39, นิว ไฮบ์ สุขสวัสดิ์, นิว โนเบิล รัชดา ลาดพร้าว และ นิว ริเวอร์เรสต์ ราษฎร์บูรณะ เป็นต้น

โดยยอดขายดังกล่าวสามารถแบ่งเป็นยอดขายจากลูกค้าภายในประเทศ 34% และยอดขายจากลูกค้าต่างชาติ 66% ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าจากประเทศพม่า จีน และไต้หวัน ดังนั้น บริษัทฯ จึงเชื่อว่ายอดขายลูกค้าต่างชาติในปีนี้จะสามารถสร้างสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่องจากปี 2566 ที่ทำนิวไฮระดับ 5,200 ล้านบาท ซึ่งตอกย้ำถึงจุดแข็งของ NOBLE ที่มีฐานลูกค้าต่างชาติที่แข็งแกร่ง

ในช่วง 8 เดือนหลังของปี 2567 บริษัทฯ ยังคงมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนอย่างต่อเนื่องอีก 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 21,130 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise รวม 4 โครงการ มูลค่ารวม 5,230 ล้านบาท

และโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง 2 โครงการ มูลค่ารวม 15,900 ล้านบาท กระจายอยู่ทุกทิศของกรุงเทพฯ เพื่อจะตอบรับความต้องการที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง และสนับสนุนยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ 20,600 ล้านบาท

โดย ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือรวมมูลค่ารวม 21,371 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายใน 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ยังมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง และโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดขาย รวมมูลค่า 34,625 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพ จึงเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้รวมให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่ระดับ 14,000 ล้านบาท

นายธงชัย ยังได้กล่าวถึงภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า สำหรับต่างชาติยังคงให้ความสนใจกับประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของผลกระทบเชิงบวกจากความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ และประเทศไทยก็ยังคงเป็นประเทศที่น่าลงทุน ราคาอสังหาริมทรัพย์ยังคงคุ้มค่าต่อการลงทุน (Affordable)

ขณะที่ลูกค้าภายในประเทศน่าจะได้ รับปัจจัยบวกมาจากการที่รัฐบาลประกาศเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ มาตรการลดค่าโอนอสังหาฯ จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดจำนองอสังหาฯ จาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยราคาประเมินไม่เกิน 7 ล้านบาท

โดยในปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนของสินค้าพร้อมขายที่ระดับราคาต่ำกว่า 7 ล้านบาท อยู่ที่ระดับ 32% ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยผลักดันยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ให้คึกคักมากขึ้น รวมถึงสินเชื่อบ้านจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้แก่ โครงการ Happy Home อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% ต่อปีเป็นระยะเวลา 5 ปี และโครงการสินเชื่อบ้าน Happy Life อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรกอยู่ที่ 2.98% ต่อปี

และสินเชื่อบ้านจากธนาคารออมสิน ได้แก่ โครงการสินเชื่อบ้านออมสินเพื่อประชาชน อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี และโครงการสินเชื่อ D-HOME อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 3.50% ต่อปี ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เป็นการส่งสัญญาณเชิงบวกที่ทำให้กำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น