รายการโปรด
สัญญาณบวก อสังหาฯ คาดทั้งปีโต 30% แนะผู้ประกอบการ ลดขนาด แบ่งเฟส จำกัดปริมาณ บริหารความเสี่ยงสอดรับต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น มาพร้อมเทรนด์ ไมโคร คอนโด ซอยห้องเล็กราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท
ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯและปริมณฑลปี 2565 เริ่มมีสัญญาณบวกที่จะกลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 จากการฟื้นตัวของธุรกิจท่องเที่ยวและกลุ่มผู้บริโภคที่ตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นเนื่องจากกลัวราคาจะปรับขึ้น โดยในปีที่ผ่านมา กรุงเทพฯ และปริมณฑลได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ทำให้ตลาดชะลอตัว โดยในปี 2564 มียอดโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือ 1 ลดลงไปประมาณ 30,000 ยูนิต (-24%) จากปี 2563
ปี 2565 เริ่มเห็นสัญญาณยอกโอนกลับมาใกล้เคียงก่อนโควิด-19
กลุ่มที่อยู่อาศัยแนวราบ เมื่อเปรียบเทียบยอดโอนกรรมสิทธิ์ตามรูปแบบสินค้า ที่อยู่อาศัยแนวราบ มีแนวโน้มการขยายตัวสูง ของสินค้ากลุ่มทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝด ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท จะเติบโตมากขึ้นในพื้นที่ปริมณฑล ตามต้นทุนของที่ดินที่ปรับสูงขึ้น
ทำให้มีปัจจัยบวกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ คือ ความต้องการกำลังกลับมาหลังธุรกิจท่องเที่ยวมีแนวโน้มดีขึ้น รวมถึงผู้บริโภคตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นเนื่องจากกลัวราคาสูงขึ้นและเกินกำลังซื้อในอนาคต
โครงการเปิดใหม่เพิ่มขึ้น คอนโดมิเนียมจะมากกว่าปี 2563-2564 รวมกัน
จากข้อมูลการเปิดใหม่ 5 เดือนแรกของปี 2565 พบว่าอสังหาริมทรัพ์เปิดใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะ
แต่คอนโดมิเนียมมีแนวโน้มที่อาจเกิดตลาดอิ่มตัวในบางทำเล เนื่องจากหลายโครงการจะมุ่งเน้นพัฒนาคอนโดมิเนียมห้องเล็ก ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท
เรียกว่า เทรนด์ Micro Condo (ไมโคร คอนโด)
การเกิดใหม่ของคอนโดมิเนียมหลายแห่งในบางทำเลอาจเกิดการอิ่มตัวอย่างที่กล่าวมาเนื่องจากเน้นขายราคาถูกประมาณ 50,000-60,000 บาทต่อตารางเมตร โดยการทำให้ห้องมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้มีราคาขายต่ำกว่า 2 ล้านบาท ทำให้เกิดเป็นเทรนด์ Micro Condo ที่มีขนาด 21-25 ตารางเมตร และเปิดเป็นห้องแบบ 1 ห้องนอนเทียม มีฉากกั้นเพื่อแบ่งสัดส่วนเท่านั้น คาดว่าการเปิดใหม่ของโครงการคอนโดมิเนียมในปี 2565 จะมากกว่าปี 2563 และ 2564 รวมกัน
โดยยอดขายครึ่งปีอยู่ที่ 57,376 ยูนิต และคาดว่าสำหรับทั้งปี 2565 ยอดขายจะอยู่ที่ประมาณ 80,000-90,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 30 เมื่อเทียบกับยอดขายทั้งปีของปี 2564
ซึ่งยอดขายที่เกิดขึ้นจะเป็นสินค้าที่อยู่ในกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทถึงร้อยละ 54 ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนยูนิตเปิดใหม่ในช่วง 5 เดือนของปี 2565 ที่ส่วนใหญ่เป็นคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-2 ล้านบาทและทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 2-3 ล้านบาท
บ้านเดี่ยวหรูใหม่ เข้าตลาดมากที่สุด
ส่วนยอดขายบ้านเดี่ยวคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในกลุ่มระดับราคา 10-15 ล้านบาท เนื่องจากราคาบ้านเดี่ยวมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ตามต้นทุนของราคาที่ดิน (และค่าก่อสร้าง) ที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มที่ระดับราคาบ้านเดี่ยวจะปรับขึ้นมาที่ระดับราคานี้ โดยจากอุปสงค์ใหม่ของบ้านเดี่ยว ที่เข้ามาในตลาดมากที่สุด ก็เป็นที่ระดับราคา 10-20 ล้านบาท
การฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและภาคบริการ ผ่านการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวของประเทศไทย แรงงานกลับมาทำงานตามปกติ ส่งผลให้กิจกรรมในภาคอสังหาฯมีแนวโน้มฟื้นตัว จำนวนบ้านคงค้างที่มีอยู่ในตลาดถูกระบายออกมาอย่างมาก และโครงการเปิดตัวใหม่มีการปรับตัวโดยไปพัฒนาในทำเลที่ห่างเมืองมากขึ้นแต่ยังมีคมนาคมที่เชื่อมโยงกันอยู่ ขนาดพื้นที่เล็กลง เพื่อจับกลุ่มตลาดคนไทย ทำให้ยอดขายที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น
ยังเผชิญปัจจัยลบ ... เงินเฟ้อ บาทอ่อน กดดันการขยายตัวของที่อยู่อาศัย
การปรับนโยบายการเงินที่ล่าช้าจะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้เงินเฟ้อค้างอยู่ในระดับสูงและส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น ทั้งค่าวัสดุ ค่าแรง และค่าที่ดิน ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหมวดผลิตภัณฑ์เหล็กสูงขึ้นร้อยละ 10-15 และหมวดผลิตภัณฑ์คอนกรีต สูงขึ้นร้อยละ 6-8 ยิ่งกว่านั้น จำนวนโครงการคอนโดมิเนียมที่เปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นประมาณ 52,000 ยูนิต ทำให้ในอนาคตอาจเกิดภาวะขาดแคลนวัสดุบางประเภท และค่าแรงขั้นต่ำก็มีโอกาส ปรับขึ้น
ช่วงปลายปี 2565 ถึงกลางปี 2566 หากดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น และมีการยกเลิกอัตราดอกเบี้ยคงที่ จะส่งผลต่อวงเงินในการซื้อบ้าน และจำนวนเงินงวดที่ต้องจ่าย ทำให้คนอาจเร่งตัดสินใจซื้อบ้าน ก่อนต้นทุนจะเพิ่ม หรือชะลอการซื้อบ้านไปเลยก็ได้
ปีหน้า ดอกเบี้ยขึ้น ต้นทุนเพิ่มทุกอย่าง
สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ประเมินว่าปี 2566 รูปแบบของตลาดอสังหาฯ จะเปลี่ยนไปในทุกทำเล การพัฒนาจะยากขึ้น เนื่องจากต้นทุนที่ดินที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 5-15 ค่าก่อสร้างบ้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 8-12 ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1-2 ล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้ไม่สามารถพัฒนาบ้านในแบบที่ต้องการได้เหมือนเดิม จึงต้องเปลี่ยนมาพัฒนาตามกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า ในขณะที่ยังคงต้องสร้างให้เกิดความพึงพอใจสูงสุด
แนะลดขนาดโครงการ แบ่งเฟส ถ้าไม่ไหวให้ยกเลิกโครงการคืนเงินลูกค้า
สำหรับผู้ประกอบการแล้ว แนวทางการพัฒนาโครงการในปี 2565-2566 ควรให้ความสำคัญกับกำลังซื้อแต่ละพื้นที่เป็นหลัก ไม่พัฒนาเกินกำลังที่ผู้บริโภคจะซื้อได้ หาช่องว่างของตลาดที่มีความต้องการสูง หาสินค้าที่มาทดแทน เช่น บ้านแฝดมาทดแทนบ้านเดี่ยว บ้านทาวน์เฮ้าส์อิสระมาทดแทนบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 7 เมตรมาทดแทนบ้านแฝด
และควรพิจารณาจำนวนบ้านที่จะพัฒนาอย่างระมัดระวัง โดยอาจลดขนาดโครงการ หรือแบ่งเฟส และในบางกรณี ถ้ายอดขายไม่เป็นไปตามแผนธุรกิจที่วางไว้ การตัดสินใจยกเลิกโครงการและคืนเงินลูกค้าก่อนเริ่มก่อสร้างอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการพัฒนาไปโดยไม่สามารถก่อสร้างให้แล้วเสร็จ
ขอบคุณข่าวจาก pptvhd36
ASW ชูกลยุทธ์ EXPAND รุก EEC ปั้น Flagship Project “อควารัส จอมเทียน พัทยา” มูลค่า 5,000 ลบ. เจาะตลาด Staycation และนักลงทุนทั้งไทย-เทศ
เมื่อวานนี้
เดอะ คิวเว่ เซ็นทรัลพาร์ค นวมินทร์–รามอินทรา กวาดยอดขายกว่า 400 ล้านบาท ในรอบ EXCLUSIVE VISIT DAY
เมื่อวานนี้
ลักชูรีวิลล่า “บางเทา–เชิงทะเล” มาแรง ครึ่งแรกปี 67 ยอดขายพุ่ง 500% ผลตอบแทนการเช่าเฉลี่ย 6-8%*
เมื่อวานนี้
ธนาสิริ ส่งโปร “เหมันต์ หรรษา..คุ้มค่า น่าอยู่ x12” จองเริ่ม 999 บาท พร้อมสิทธิพิเศษอีกมากมาย
2024-12-12
เปิดตัว “Chapter Market” แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางสุขุมวิท 26 ปลุกกรุงเทพฯ สู่ศูนย์กลางอาหาร คาดดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลก 1,000 คน/วัน
2024-12-12
ดีค่ะ เขียนดี
อ่านแล้วได้ความรู้เยอะเลย
บทความดีครับ