รายการโปรด
สถานการณ์เศรษฐกิจโลก สงครามการค้าจีน-สหรัฐฯไม่คลี่คลาย สร้างความผันผวน ฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจไทย และกระทบเป็นห่วงโซ่ลามมาถึงกำลังซื้อของภาคอสังหาริมทรัพย์ที่อ่อนไหว ประกอบกับ ปัจจัยภายในรัฐออกกฎเข้มควบคุมสินเชื่อเกิดใหม่ เพื่อหวังดูแลโครงสร้างหนี้โดยรวมส่งผลให้ลูกค้าคนไทยหดหาย ขณะที่ลูกค้ากลุ่มต่างชาติชะลอการลงทุนจากความน่าสนใจที่น้อยลง และเม็ดเงินที่ถูกค่าเงินบาทแข็งกดดันจ่ายเพิ่ม
นายวิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ในภาวะชะลอตัวลงประมาณ 11% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของการซื้อและการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาสแรกอย่างคึกคัก ก่อนลดลงฮวบในช่วงหลังเข้าเดือนเมษายน ซึ่งมีการเริ่มใช้มาตรการควบคุมสัดส่วนการให้สินเชื่อบ้านต่อมูลค่าหลักประกันบ้าน (แอลทีวี) เพื่อควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย
ขณะเดียวกัน คาดตัวเลขในช่วงไตรมาส 3 ต่อเนื่องไตรมาส 4 คงอยู่ในระดับที่ลดตํ่าลงจากปีก่อนเช่นกัน ประเมินทั้งปีติดลบประมาณ 7% โดยตลาดคอนโดฯ ได้รับผลกระทบมากกว่าโครงการแนวราบ คาดทั้งปียอดโอนกรรมสิทธิ์ในตลาดคอนโดฯ จะติดลบที่ประมาณ 14%
ส่วนแนวราบติดลบ 4% ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากเรื่องภาวะเศรษฐกิจโดยรวม แต่ซัพพลายคงเหลือของทั้งตลาด ยังไม่อยู่ในขั้นโอเวอร์ซัพพลาย หลังจากเมื่อเก็บข้อมูลแล้ว พบว่าการย่อตัวลงของตัวเลขปีนี้ โดยเทียบยอดโอนกรรม สิทธิ์ทั้งหน่วยและมูลค่า กลับไปอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2560 แสดงว่าไม่ได้ตํ่าจนน่ากลัว
“จากการพูดคุยกับผู้ประกอบการรายใหญ่ ยังขายได้แต่ช้า ทำให้แม้มีการประกาศแผนลงทุนต่อเนื่อง แต่กำหนดเปิดตัวโครงการใหม่ถูกยืดออกไป เพื่อรอระบายสต๊อกเก่าตลาดคอนโดฯ เอง ลูกค้ากลุ่มนักลงทุนจีนหายไปมาก”
ขณะนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัสฯ ตัวแทนภาค สินเชื่อ กล่าวว่า สถานการณ์ของตลาดอสังหาฯ ณ ปัจจุบันในส่วนของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ 16 บริษัท ผลกำไรช่วงครึ่งปีแรกโดยรวมลดลง 15-16% จากยอดขายที่ลดลง แต่รายจ่ายคงที่หรือเพิ่มขึ้น คาด เพราะดีมานด์บางส่วน เช่น กลุ่มเก็งกำไร ซื้อลงทุนหายไปประมาณ 30%
อีกด้านมาจากภาวะชะลอโดยธรรมชาติจากภาวะเศรษฐกิจ จึงคาดว่าตลอดทั้งปี 2562 จะเหลือมูลค่าประมาณ 3.12 แสนล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่มีมากถึง 3.54 แสนล้านบาท ส่วนคาดการณ์มูลค่าโครงการใหม่ทั้งปี เดิมน่าจะอยู่ที่ 4.4 แสนล้านบาท ปัจจุบันคงเหลือแค่ 3.7 แสนล้านบาท จากการที่หลายบริษัทปรับแผนดำเนินธุรกิจและชะลอเปิดโครงการใหม่ที่มีความเสี่ยงออกไปก่อน
ทั้งนี้ มีความเป็นห่วงผู้ประกอบรายกลาง-เล็ก ถึงภาระหนี้ที่ต้องอุ้มสต๊อกสินค้าคงค้างจากภาวะขายช้า อาจต้องหาแหล่งเงินทุนสำรองเพิ่มเติมซึ่งเป็นเรื่องยากในการเข้าถึงสินเชื่อ ส่วนฐานะการเงินของรายใหญ่ไม่น่ากังวล เพราะยังมีทุนมากกว่าหนี้ เป็นอาการคล้ายคนสะอึก ไม่ใช่ป่วยวิกฤติ
“หากคำนวณจาก 12 บริษัทชั้นนำ พบอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการรวม 5 แสนล้านบาท บวกกับของใหม่อีก น่าจะแตะ 8 แสนล้านบาท คาดจะใช้เวลาดูดซับ 2-3 ปี สถานการณ์ยังไม่ดี ฉะนั้นผู้ประกอบการควรจะถอยแผนอีก 2-3 สเต็ป น่าจะอยู่ในจุดสมดุลได้ ที่สำคัญต้องไม่ก่อหนี้เพิ่มก่อนวิกฤติ”
พร้อมแนะว่า กลยุทธ์การอยู่รอดของผู้ประกอบการในยุคนี้ ที่สามารถจะรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้ดีที่สุด คือ การหาพันธมิตรร่วมลงทุน (JV) เพราะใช้เงินทุนน้อย ไม่ต้อง แบกภาระหนี้ และการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่จะสามารถตัดกำลังคู่แข่งได้ พบรูปแบบการพัฒนาโครงการเช่นนี้ กำลังเป็นที่นิยม สะท้อนจากยอดแบ็กล็อก (ยอดขายรับรู้รายได้) 3.3 แสนล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 2 เป็นส่วนของ JV มาก ถึง 1.32 แสนล้านบาท
ขอบคุณข่าวจาก ฐานเศรษฐกิจ
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ขึ้นแท่นอันดับ 1 ด้านคุณภาพการบริหารจัดการระดับสากล กวาด ISO มากที่สุด ครบ 3 มาตรฐานครอบคลุมทุกมิติ เป็นเจ้าแรกในประเทศไทย
2022-07-14
นัมเบอร์วันเฮ้าส์ซิ่ง ดิเวลลอปเม้นท์ ส่งโครงการ THE ONE life bangna บุกเมกาบางนา บ้านเดี่ยวอารมณ์รีสอร์ตใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ ทำเลต้นบางนา
2022-07-14
Last Call Promotion!! กับแคมเปญ “ชีวาทัยเป็นได้มากกว่าเพื่อน” หมดเขต 31 ก.ค.นี้เท่านั้น
2022-07-14
ASW เสริมกลยุทธ์ Lifestyle Community จัด Monstr Concert Festival Series#1 ตอบรับไลฟ์สไตล์ลูกบ้านโครงการคอนโดฯ เคฟทาวน์ สเปซ
2022-07-14
เตือนภัยขอสินเชื่อบ้าน-ที่ดินระวังโดนโกง
2022-07-11
ชัดเจนเข้าใจง่าย ชอบคะ ต้องโดน
เขียนดีขนาดนี้ เอาใจพี่ไปเลย
บทความดี รักษาคุณภาพต่อไปค่ะ ติดตามๆ
บทความมีประโยชน์มากมายคร้า